บางทีก็ไม่รู้หรอกว่าควรทำไหม
นึกไม่ออกว่าเหมาะสมรึเปล่า หรือมันจะมีประโยชน์อะไรขึ้นมา
และก็ลังเลตลอดเวลา
แต่รู้สึกเอาว่าควรทำ ก็ทำลงไป
ก็เท่านั้น
บางทีก็ไม่รู้หรอกว่าควรทำไหม
นึกไม่ออกว่าเหมาะสมรึเปล่า หรือมันจะมีประโยชน์อะไรขึ้นมา
และก็ลังเลตลอดเวลา
แต่รู้สึกเอาว่าควรทำ ก็ทำลงไป
ก็เท่านั้น
นั่งคิดเรื่องนี้มานาน คือมันควรจะมีกลุ่มที่แลกหนังสือกันอ่านเป็นเรื่องเป็นราว
ผมเองมีแนวคิดที่จะ “ไม่” เก็บหนังสือไว้กับตัว อ่านจบแล้วก็อยากปล่อยให้มันไปทำหน้าที่ของมันต่อกับคนอื่นต่อไป แต่นิสัยของตัวเองก็ไม่เหมาะกับห้องสมุดอีก เพราะว่าชอบอ่านหนังสือหลายเล่มพร้อมๆ กัน บางเล่มได้มาก็ดอง บางเล่มได้มาคืนเดียวก็อ่านจบ
แนวคิดที่อยากได้มากคือ “แบ่งกันอ่าน” ประเภทว่าใครอ่านจบแล้วก็แบ่งๆ กันไป
เคยคิดจะทำเว็บแบ่งปันหนังสือแบบนี้อยู่ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว แต่ยังคิดไม่ออกถึงโมเดลที่แน่นๆ แต่กำลังคิดว่าต้องเป็นระบบเครดิตบางอย่าง
ถ้าเราเอา “ราคา” บางอย่างที่ไม่ใช่ตัวเงิน ก็น่าจะช่วยได้ ด้วยการระบุว่า เลยคิดว่าถ้าทำเว็บ “เล่า” ความคิดเกี่ยวกับหนังสือ มันไม่จำเป็นต้องเป็นการรีวิว จะเล่าในมุมไหนก็ได้ จะเล่าความคิดที่ได้จากมันก็ได้ (เพราะไม่ได้ขายอยู่แล้ว) เราเขียนอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับหนังสือนั้นๆ ทุกครั้งที่เราเขียน เรามีสิทธิ “ขอ” หนังสือเล่มไหนก็ได้ที่ถูก “เขียน” ถึงมาก่อนหน้านี้
หนังสือเล่มที่เราเขียนถึง คือหนังสือที่เราพร้อมจะแจกมันออกไป พอมีคนอื่นๆ ที่มีเครดิตเข้ามาขอก็ต้องส่งให้ไป
ปัญหาที่คิดไม่ออกคือค่าใช้จ่ายในการส่ง ตอนเป็นกลุ่มเล็กๆ มันคงออกให้กันได้ แต่ระยะยาวจะมีปัญหาไหม?
คิดเล่นๆ ว่าถ้าไม่มีสิ่งที่เหนือธรรมชาติใดๆ เลยจริงๆ
ถ้าทั้งหมดในชีวิตเราที่เราเห็น สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ (อย่างน้อยก็วิทยาศาสตร์แบบที่เรารู้อยู่ตอนนี้)
“เรา” เป็นเพียงมวลก้อนหนึ่ง มีองค์ประกอบที่พอดี และถูกกระตุ้นโดยพลังงานในรูปแบบที่ลงล็อก
“เรา” เป็นเพียงผลผลิตที่เกิดจากความน่าจะเป็นหนึ่งๆ ใน sample space ขนาดใหญ่มหาศาล เราเป็นเพียงจุดๆ หนึ่งที่เป็นไปได้จากจุดอื่นๆ ที่นับไม่ถ้วน
ทั้งหมดที่เราฝัน ทั้งหมดที่เราหวัง ทั้งหมดที่เราเป็น มันจะมีความหมายอะไร
มีเราหรือไม่ มันก็ไม่ต่างกัน ความดีที่เราเคยเชื่อ คุณค่าที่เรารู้สึก มันจะมีความหมายอะไร
ทั้งหมดก็แค่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา จะความดีหรือความชั่วร้ายก็เสื่อมสลายไปเหมือนๆ กัน
ในบรรดางานวิ่งมาราธอนทั่วโลกนั้นหนึ่งในรายการที่โด่งดังที่สุดในโลกคือ Boston Marathon มันเป็นรายการที่โหดและหิน เพราะระยะทาง 42.195 กิโลเมตรของมันนั้นเป็นเส้นทางที่ลมแรง และที่ร้ายกาจที่สุดคือเนินเขาสี่เนินในช่วงปลายสุดของการแข่งกัน นักวิ่งที่เหนื่อยล้ามาตลอดเส้นทางหลายสิบกิโลเมตร
เนินเขาสี่เนินเขา แต่ละเนินพร้อมจะหยุดนักวิ่งไปทีละกลุ่ม ส่วนมากหยุุดวิ่งแล้วเดินไปข้างหน้า บ้างยอมแพ้ถอนตัวจากการแข่งขัน
จุดที่บีบหัวใจที่สุดคือเนินเขาสุดท้ายในระยะ 600 เมตรสุดท้าย มันมีความสูงเพียง 27 เมตรเท่านั้น แต่กับนักวิ่งที่วิ่งมากว่า 40 กิโลเมตร กับเนินเขาที่โหดหินถึงสามลูกก่อนหน้า เมื่อมองไปข้างหน้าเห็นเนินเขาอีกครั้งคนจำนวนมากก็พร้อมจะยอมแพ้ต่อมัน
แต่ถ้านักวิ่งเหล่านี้ผ่านไปได้ มันก็แค่อีกไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น
ไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้นเทียบกับระยะทางหลายสิบกิโลเมตรที่พวกเขาผ่านมาได้ตั้งไกล
ปล. เล่าครั้งแรกโดย อ.อนันต์ ผลเพิ่ม ในวิชา Probability and Statistics ปีสามภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ม. เกษตร
ปล2. เห้ย ปล.แรกมันเจ็ดปีแล้วเรอะ !!!