บัตรเครดิต

แม้จะอยู่กับเทคโนโลยีมาตลอดชีวิต แต่เรื่องการเงินผมไม่ค่อยชอบเทคโนโลยีอย่างรุนแรง

  • ใช้บัตรเดบิตอยู่สองใบและตั้งวงเงินต่ำสุดเสมอ
  • ใช้เงินสดเป็นหลัก
  • ซื้อของผ่านเน็ตใช้ Web Shopping Card อย่างเดี่ยว

จนกระทั่งเมื่อต้นปีมาดราม่ากับกสิกรเรื่องการแสดงบัตรตอนซื้อตั๋วเครื่องบิน เลยตัดสินใจว่าได้เวลามีบัตรเครดิตแล้ว

กลับมามีคนโทรมาชวนทำบัตรเครดิตคนแรกก็ทำเลย (ไม่ดีมากๆ ปกติไม่ชอบคนโทรมาขายแบบนี้)

  • ทำงานมานาน เงินเดือนไม่มีปัญหาอะไร แป๊บเดียวอนุมัติ
  • อนุมัติมามากกว่าเงินเดือน ช็อกมาก และไม่ชอบมีบัตรอะไรที่หายไปแล้วเสียหายได้ขนาดนี้
  • โทรไปลดวงเงินเหลือพอใช้ (ลดง่ายมาก)

ใช้ๆ ไปเสพติด

  • ผมเลือกคืนเงิน 1% ทันที เพิ่งคิดได้ว่าเออ ไม่ใช้บัตร ร้านก็ไม่ลดให้เราอยู่ดี
  • ยังไม่เคยได้ลดจากโปรอื่น
  • ใช้ต่างประเทศได้แล้ว (เดือนแรกไปใช้ใต้หวันเลย)

ล่าสุดจะซื้อตั๋วต่างประเทศ งานเข้าทันทีเพราะวงเงินไม่พอ แต่ปรากฎว่าเอาเงินฝากเข้าไปก่อนได้ (เคาน์เตอร์ไม่รู้ว่าเรามีหนี้เท่าไหร่ จ่ายเท่าไหร่ก็รับหมด) ก็ฝากๆ เข้าไปจนพอ แล้วก็จ่าย

ปิดคดี บัตรเครดิตกลายเป็นบัตรเติมเงินแบบได้ส่วนลด 1% ไปเรียบร้อย

 

เขื่อนแม่วงก์

ช่วงนี้มีประเด็นเยอะ อ่านๆ ดูแล้วมันกระจายมาก ลองรวบๆ มาอีกที ตัวเลขผมปัดๆ ไปอย่างจงใจให้กลมๆ

ข้อมูลพื้นฐาน

  • อุทยานแห่งชาติแม่วงก์มีพื้นที่ 550,000 ไร่
  • มีหลายอุทยานติดกัน พื้นที่รวมๆ 11 ล้านไร่
  • ตัวเขื่อนที่เสนอ กินพื้นที่ 13,000 ไร่
  • ถ้าเป็นไปตามที่ออกแบบ จะจุน้ำได้ 250 ล้านลบ.ม.
  • เวนคืนที่ดินคลองอีก 11,000 ไร่

เทียบขนาดเขื่อนกับเขื่อนอื่น

ที่มา 1, 2, 3,4

  • เขื่อนศรีนครินทร์ 18,000 ล้านลบ.ม.
  • เขื่อนภูมิพล 13,500 ล้านลบ.ม.
  • เขื่อนสิริกิติ์ 9,500 ล้านลบ.ม.
  • เขื่อนวชิราลงกรณ์ 8,900 ล้านลบ.ม.
  • เขื่อนรัชชประภา 5,600 ล้านลบ.ม.
  • เชื่อนอุบลรัตน์ 2,400 ล้านลบ.ม.
  • เขื่อนสิรินธร 2,000 ล้านลบ.ม.
  • เขื่อนบางลาง 1,400 ล้านลบ.ม.
  • เขื่อนลำปาว 1,400 ล้านลบ.ม.
  • เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน 770 ล้านลบ.ม.
  • เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ 750 ล้านลบ.ม.
  • เขื่อนแก่งกระจาน 710 ล้านลบ.ม.
  • เขื่อนลำพระเพลิง 320 ล้านลบ.ม.
  • เขื่อนแม่งัด 264 ล้านลบ.ม.
  • เขื่อนขุนด่านประการชล 224 ล้านลบ.ม.
  • เขื่อนน้ำพุง 165 ล้านลบ.ม.
  • เขื่อนห้วยกุ่ม 163 ล้านลบ.ม.

ประเด็นต่อต้าน

ที่มา – 1, 2, 3 (ebook)

  • ป่าน่าจะเสียเกินกว่า 13,000 ไร่ที่ระบุจากการตัดไม้เกินพื้นที่
  • EHIA ทำไม่ผ่านมาแล้วหลายรอบ
  • ป่าที่เสียเป็นพื้นที่ต่ำแหล่งอาหารสัตว์ป่า
  • น้ำใช้จริงไม่ได้เต็ม 250 ล้านลบ.ม. ยกตัวอย่าง เขื่อนทับเสลา 160 ล้านลบ.ม. เก็บอยู่ 42 ล้าน ใช้น้ำได้ 25 ล้าน (อันนี้งงๆ เพราะปกติก็ไม่มีใครเก็บน้ำเต็มปริ่มๆ เขื่อนอยู่แล้ว ยกเว้นตอนน้ำท่วม)
  • แก้ปัญหาน้ำท่วมของลาดยาว (พื้นที่ใกล้เขื่อน) ได้จำกัดเพราะมีทางน้ำอีก 12 ทาง แม่น้ำแม่วงก์เป็นปริมาณน้ำ 10-20%

ข้อเสนอ

  • สร้างฝายขนาดเล็กให้พื้นที่เกษตร 1,000 ไร่
  • จัดการทางน้ำออก ถนนที่กั้นน้ำอยู่
  • ยกตัวอย่าง ตำบลหนองหลวง อุทัยธานี ที่ใช้อ่างเก็บน้ำและฝาย

คำถามต่อข้อเสนอ

อันนี้ผมนึกเอาเอง

  • อุทัยปีนี้ก็น้ำท่วม ต.หนองหลวง วันนี้ก็ท่วมอยู่
  • พื้นที่ป่าที่ราบต่ำมีมากน้อยแค่ไหน จึงเรียกตรงแม่วงก์ว่าเป็นหัวใจ (นับเฉพาะผืนป่าเดียวกันก็เข้าใจได้) ยังไม่มีตัวเลขส่วนนี้
  • รายงานทั้งสองฝั่งเน้น best case/worst case คำถามคือโดยทั่วไปถ้ามองระยะสัก 10-20 ปีแล้ว benefit มีแค่ไหน
 

Digital Refugees

สองสามปีที่ผ่านมาเรามีกระแส (ที่สำเร็จไปแล้ว) คือการประมูล 3G ไม่ว่าจะดีจะชั่วอย่างไร มันก็เป็นก้าวแรกของการเข้าสู่ระบบใบอนุญาต

ผมพูดเสมอในประเด็น 3G ว่าสิ่งสำคัญของมันไม่ใช่การมีอินเทอร์เน็ตไร้สาย “ความเร็วสูง” ไว้ใช้งานกัน แต่ประเด็นสำคัญคือการย้ายมาใช้งาน non-voice ของคนทั่วๆ ไป เพราะผมมองว่าสังคมไปข้างหน้า เราต้องดึงคนอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามายังโลกอินเทอร์เน็ตในราคาที่เหมาะสมกับการใช้งานของพวกเขา

ด้วยความเป็นคนเมือง บ้านผมมีโทรศัพท์มาตั้งแต่จำความได้ ผมต่ออินเทอร์เน็ตครั้งแรกสมัยประถม และมี ASDL ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย ผมมีการ์ด Wi-Fi ใช้คนแรกๆ ในรุ่น ผมไม่ได้พิเศษอะไร มีคนจำนวนมากในรุ่นใกล้ๆ กับผมจนกระทั่งรุ่นหลังผมลงไป เติบโตขึ้นมาพร้อมกับการสื่อสารที่ดีพอสมควร คนกลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ใช้ Facebook พวกเขามีอินเทอร์เน็ตไม่จำกัดใช้งานได้ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน

ผมเรียกคนกลุ่มนี้ว่า Digital Natives พวกเขาอยู่กับโลกดิจิตอล โตมากับมัน และการใช้งานเป็นเรื่องที่คุ้นเคย พวกเขาอาจจะไม่ใช่คนจบคอมพิวเตอร์เสียทีเดียว แต่ก็เป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ใช้โปรแกรมแชตใหม่ ลงเกมใหม่เมื่อมันดังและมีเพื่อชวนเล่นด้วย พวกเขามีปัญหาเครื่องช้า มีปัญหาพื้นที่ไม่พอลงโปรแกรมใหม่บ้าง จนกระทั่งต้องเปลี่ยนโทรศัพท์สักครั้งหรือสองครั้งมาแล้ว

แต่ชีวิตผมเองต้องต้องเจอกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ในยุคที่บ้านผมมีโทรศัพท์ คนกลุ่มนี้ต้องนัดแนะกันทางอื่นเพื่อคุยกัน พวกเขาต้องนัดเวลากับที่บ้านเพื่อจะได้ไปรอรับสายจากเพื่อนบ้าน ส่วนคนโทรต้องโทรจากตู้สาธารณะ

ในยุคอินเทอร์เน็ต คนกลุ่มนี้ คือคนที่ไม่มีแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตไม่จำกัดใช้งาน พวกเขาอาจจะเป็นแม่บ้านอยู่ตามออฟฟิศ พนักงานรักษาความปลอดภัย หรือลูกจ้างร้านอาหาร พวกเขาใช้โทรศัพท์รุ่นสุดคุ้มต่างๆ และใช้งานจากแอพที่เพื่อนหรือร้านลงให้ พวกเขาใช้อินเทอร์เน็ตฟรีตามที่ต่างๆ อาจจะเป็นอินเทอร์เน็ตของอาคารที่อาศัยความสนิทสนมไปขอใช้งานมา อาจจะเป็นอินเทอร์เน็ตของร้านกาแฟข้างๆ

ผมเรียกคนกลุ่มนี้ว่า Digital Refugees เพราะขณะที่การใช้งานของพวกเขาไม่ได้มากมายอะไร แต่สิ่งที่พวกเขาใช้งานกลับเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาอย่างมีนัยสำคัญ พวกเขาเคยลำบากกับการสื่อสารที่ราคาแพง ไม่ทั่วถึง และใช้งานลำบาก คนกลุ่มนี้จำนวนมากต้องอยู่ห่างจากครอบครัวเพราะพื้นที่ทำงานไกลบ้านออกไปหลายร้อยกิโลเมตร

ขณะที่การใช้งานของพวกเขาน้อยกว่าการใช้งานของคนเมืองที่โตมากับไอที มีทุกสิ่งพร้อม แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ไอทีทำให้พวกเขากลับมากมายกว่ามาก พวกเขาเคยต้องแบกรับค่าใช้จ่ายมหาศาลในการสื่อสาร การพูดคุยเป็นเวลานานอาจจะหมายถึงต้องเดินทางกลับภูมิลำเนา ค่าใช้จ่ายที่สูงทำให้พวกเขาไม่สามารถสื่อสารกันได้สะดวก

โทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต เปลี่ยนชีวิตพวกเขาได้มากกว่าที่เปลี่ยนชีวิตคนเมืองอย่างมาก พวกเขาสามารถสื่อสารกันได้ตลอดเวลาเป็นครั้งแรก สามารถส่งข้อความเสียง ข้อความภาพ แม้การใช้งานจะน้อยกว่า แม้พวกเขาจะไม่เคยลองโปรแกรมใหม่ๆ พวกเขาแค่ใช้สิ่งที่เคยใช้งาน แล้วก็ใช้ต่อไปอย่างนั้นเอง

เวลาที่เราเรียกร้องการเข้าถึงไอที เราเรียกร้องอะไร เวลาที่เราเรียกร้องอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมากๆ (มากระดับที่ดูวิดีโอความละเอียดสูงได้ลื่น) เรากำลังเรียกร้องบริการ “ชั้นดี” มากกว่าที่จะเรียกร้องบริการ “ทั่วถึง”

คนจำนวนมากอาจจะรู้สึกโกรธที่ตัวเองเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมากตลอดเวลาไม่ได้ แต่ผมมองว่านั่นไม่ใช่ปัญหาที่ต้องได้รับการคุ้มครอง ปัญหาของคนมีกำลังซื้อของพื้นฐานแต่อยากได้ของชั้นดีเป็นเรื่องที่ต้องเรียกร้องกันเองผ่านกลไกตลาด ไม่ใช่กระบวนการคุ้มครอง

เพราะผมเชื่อว่าอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารควรนำมาซึ่งความเท่าเทียม ไม่ใช่ความรู้สึกหรูหราอะไร

 

จริยธรรมจอมปลอม

ช่วงสิบปีให้หลัง ผมเห็น “จริยธรรม” ในกระบวนการศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เราเห็นคำขวัญต่างๆ ของกระบวนการศึกษาต้องมีคำว่าจริยธรรมห้อยท้ายเอาไว้เหมือนโรงเรียนต้องมีห้องเรียน

บางทีผมก็ไม่เข้าใจว่าคำว่าจริยธรรมในความหมายที่ห้อยท้ายทุกคำขวัญเหล่านี้มีความหมายอย่างไรกัน

จริยธรรมที่พร้อมจะ “ให้อภัย” กับความผิด จริยธรรมที่ปกป้องเด็กที่ผิดอย่างชัดเจนโดยฝันลมๆ แล้งๆ ว่าเขาจะกลับตัวได้สักวันนั้นเป็นจริยธรรมไหม

จริยธรรมที่ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงกฎที่รู้ทั้งรู้ว่าโทษหลายกรณีมันเกินกว่าเหตุ แต่ก็ใช้อำนาจส่วนตัวยกเว้นโทษเหล่านั้นไปเฉยๆ แล้วเราก็กลับมาพร่ำสอนให้เด็กเกรงกลัวในกฎเหล่านั้น พร้อมๆ กับการอภัยที่ยืนยันกับเด็กคนอืนๆ ว่าทำไปเถอะ แล้วจะไม่ต้องรับผลที่ตามมาแต่อย่างใด

บางทีก็นึกถึงเรื่อง “พ่อแม่รังแกฉัน” ว่าใครกันที่เลว ระหว่างคนที่โตมาเลวกับคนที่ไม่เปิดโอกาสให้เด็กรับผลของการกระทำเลว (แม้จะเล็กน้อย) ของตัวเอง