ครั้งที่ n

ช่วงนี้พอดีงานส่วนหนึ่งเป็นการโค้ชรุ่นน้องให้โค้ดงานแทน พอช่วยๆ แล้วเริ่มจำตัวเองสมัยยังเด็กๆ ได้

ในครั้งหนึ่ง เวลาที่ผมเจอรายงานความผิดพลาดจาก gcc โลกแทบจะสลาย มือไม้สั่น รายงานความผิดพลาดยาวเหยียดที่พ่นออกมาสร้างเขาวงกตว่าเราควรแก้ตรงไหน ความกลัวทำให้เราเลือกที่จะไม่อ่าน เลือกที่จะไม่เรียนรู้ แล้วกลับไปนั่งจ้องโค้ดแย่ๆ ของเราต่อไป

ไม่รู้ว่าเพราะบางครั้งปัญหามันแก้ไม่ได้ด้วยการจ้องโค้ดหรือกูเกิลมันเข้ามาในชีวิตมากขึ้น เราเริ่มเอารายงานความผิดพลาดทั้งดุ้น ยัดใส่กูเกิล แล้วภาวนาว่าจะมีใครสักคนในโลกใบนี้ บอกเราว่าเราจะแก้ปัญหาอย่างไร

บางครั้งไม่มีก็กลับไปนั่งทางในกับโค้ดเดิมๆ ต่อไป

มองกลับมาวันนี้ เมื่อผ่านกระบวนการเรียนรู้นับครั้งไม่ถ้วน ผมกล้าที่จะค่อยๆ อ่านว่าปัญหาเหล่านั้นมันเกิดจากอะไร และน่าจะแก้ได้จากอะไรกัน

ในกระบวนการเรียนรู้ ไม่มีครั้งไหนที่ไม่ผ่านความเจ็บปวด การเรียนรู้ที่จะอ่านรายงานความผิดพลาดหลายต่อหลายครั้งเกิดหลังการเสียเวลาทำงานไปแล้วหลายต่อหลายวัน กับงานที่ไม่ได้เดินหน้าไปไหน

เมื่อเรามายืนอยู่ที่ความผิดพลาดครั้งที่ n มันง่ายที่จะบอกว่าเราทำได้ดีกว่าครั้งที่ n – 1

แต่น่าสงสัยว่าแล้วครั้งต่อไปล่ะ เราจะเป็นอย่างไรกัน

 

แนวคิดส้นตีน

มันมีแนวคิดอย่างหนึ่งฝังรากมานานในประเทศไทย เป็นแนวคิดปลูกฝังกันมา จนเป็น “แนวคิดส้นตีน” อยู่ในประเทศนี้ เอามันไม่ออก

“เรื่องแค่นี้ทำไม่ได้ แล้วเรื่องอื่นจะไปทำอะไรได้”

นี่คือความส้นตีนสุดยอดในตรรกะของสยามประเทศ เป็นแนวคิดที่ห้ามพิสูจน์ เป็นแนวคิดที่พูดไปถูกมั๊ยไม่รู้ แต่คนพูดดูยิ่งใหญ่ (อาจจะเพราะใช้ส้นตีนคิดมา)

คัดลายมือให้ดียังทำไมได้ แล้วจะไปทำอะไรได้

ตัดผมให้เรียบร้อยยังทำไม่ได้ แล้วจะไปทำอะไรได้

ใส่เครื่องแบบให้ถูกต้องยังทำไม่ได้แล้วจะไปทำอะไรได้

 

แนวคิดส้นตีนนี้ถูกใช้อธิบายความเลวร้ายของสังคมได้อย่างอัศจรรย์ คุณอาจจะเห็นคำอธิบายว่าทำไมเด็กไทย ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ เพราะเด็กรุ่นใหม่มันไม่ได้เรื่อง มันไม่อยู่ “ในร่องในรอย” เหมือนคนสมัยก่อน (ที่ก็ไม่ได้มีความคิดสร้างสรรค์อะไรมากมาย)

คนที่อุปโลกตัวเองว่าผ่านน้ำร้อนมาก่อน จะพร่ำพรรณนาว่าในสมัยตัวเองนั้น ทุกคนล้วนอยู่ในวินัย

ไม่มีใครถามว่าไอ้ที่บอกว่า “เรื่องแค่นี้” มันส่งเสริมให้สังคมไปถึงจุดหมายได้อย่างไร

ทุกคนอธิบายเพียงว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ ผ่านไปไม่ยากหรอก อย่าไปตั้งคำถามกับมันสิ แล้วจะผ่านมันไปเอง

 

ส้นตีนเถอะครับ

 

ทางง่าย

เวลาที่เรามองปัจจุบัน มันยากที่เราจะมองมันด้วยความชื่นชม

ความทุกข์ ความเลวร้าย และเรื่องแย่ๆ ที่อยู่ตรงหน้า มันเต็มไปด้วยเรื่องที่เราไม่รู้จะทำยังไงให้เรามีความสุขกับมัน

แต่กับเวลาที่เรามองอดีต เรื่องราวมันง่ายกว่านั้นมากนัก แม้แต่ช่วงเวลาที่แย่ที่สุด เราก็ยังมองด้วยความสุข สามารถเห็นด้านดีๆ ของช่วงเวลาที่เลวร้ายนั้นได้ไม่ยาก

เรามองย้อนกลับไปแล้วยิ้มกับมัน และบึ้งตึงทุกครั้งเมื่อมองสิ่งตรงหน้า

 

เรื่องที่ยากอย่างหนึ่งในชีวิตคงเป็นการตระหนักว่าสิ่งตรงหน้าเราดีอย่างไร มันอาจจะไม่สมบูรณ์เหมือนที่เราเคยฝันไว้ในจินตนาการ แต่เมื่อเรามองด้วยความเป็นจริง เราอาจจะพบว่าตรงหน้านั้นก็มีเรื่องดีๆ อยู่มากมาย

แน่นอนในนาทีที่ยาก เรามองเทียบตรงหน้ากับอดีต และเห็นแต่ด้านแย่ ขณะที่เราโหยหาอดีตอันแสนหวาน

เราจะทิ้งสิ่งตรงหน้านี้ไปเลยไหม?

มันง่ายที่จะทิ้งอะไรสักอย่างไป ง่ายกว่าที่เราจะกลับมานั่งคิดดีๆ ว่าเราจะมีความสุขกับการไม่มีมันจริงๆ รึเปล่า

 

เราอาจจะเลือกทางง่ายไปเรื่อยๆ เมื่อไม่พอใจอะไรสักอย่างก็ทิ้งมันไป แล้วก็เดินทางใหม่ แล้วพบกับช่วงเวลาที่เราไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมที่ผ่านมาเราจึงเจอแต่สิ่งที่แย่ลง

จนถึงวันหนึ่งที่เราอยากจะย้อนกลับไป ก็ไม่มีที่ให้กลับไปเสียแล้ว

 

บางทีลองมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเราอีกที แล้วค่อยๆ คิดว่าเราอยากจะทิ้งมันไปกลับไปหาสิ่งเดิมที่เราเคยประสบรึเปล่า

 

หลายครั้งอาจจะได้คำตอบที่เปลี่ยนการกระทำของเราเอง

 

Open Identity

ความเชื่ออย่างหนึ่งของผมคือในท้ายที่สุดแล้ว ระบบ Social Network ทั้งหมดจะพังลงมากลับมาเป็นเว็บอีกครั้ง

การรวมศูนย์ของระบบ Social Network เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุคของ Web 2.0 บริการบล็อกต่างๆ พากันรวมศูนย์เข้าสู่ที่ต่างๆ อย่างรวดเร็ว เว็บที่เคยเป็นการสร้าง HTML ไปอัพโหลดตามที่ต่างๆ กลับกลายเป็นการไปพึ่งพิงอยู่ให้บริการใหญ่ๆ ไม่กี่ราย

แล้วถ้า Social Network จะแตกดับกลับมาเป็นเว็บอีกทีจะเป็นอย่างไร?

ผมเองเชื่อว่า Social Network มันคือเรื่องของปฎิสัมพันธ์ มันคือการ “เม้น status” และการ “mention” กันไปมา (แม้ผมจะเล่น Social Network แบบไม่ mention ก็ตาม)

ทุกวันนี้ผู้ให้บริการอย่าง Facebook ให้บริการปุ่ม Like ในเว็บต่างๆ และ Comment Box สักวันหนึ่งบริการเหล่านี้จะขยายตัวออกไปจากการบีบคั้นด้วยการแข่งขัน ทำให้ผู้บริการเหลา่นี้ต้องยอมกับกิจกรรมหลายๆ อย่างที่อาจจะไม่ได้ดึงคนไว้ในเว็บตัวเอง

อนาคตเราน่าจะ mention กันไปมาจากในบล็อกของเราเองได้ ระบบน่าจะเปิดพอที่เราจะอ้างถึงคนจาก Social Network ใดๆ ในหน้าเว็บใดๆ ได้ อาจจะมีคน mention ถึงเรา บริการ Social Network เหลือหน้าที่คือการรวบรวมและคัดกรองว่าจะเตือนเราเมื่อมีคนพูดถึงเราเมื่อใด มีการโต้ตอบถึงเราในที่ใดๆ หรือไม่

จริงๆ แล้วแนวคิดนี้ของ Google Plus ก็แอบย่องๆ ทำไปแล้ว ด้วย rel-author สักพักเมื่อมันเสร็จ เราน่าจะได้เห็นอะไรรูปแบบเดียวกับการ mention กันในเว็บได้แทบทุกแห่ง