ทางง่าย

เวลาที่เรามองปัจจุบัน มันยากที่เราจะมองมันด้วยความชื่นชม

ความทุกข์ ความเลวร้าย และเรื่องแย่ๆ ที่อยู่ตรงหน้า มันเต็มไปด้วยเรื่องที่เราไม่รู้จะทำยังไงให้เรามีความสุขกับมัน

แต่กับเวลาที่เรามองอดีต เรื่องราวมันง่ายกว่านั้นมากนัก แม้แต่ช่วงเวลาที่แย่ที่สุด เราก็ยังมองด้วยความสุข สามารถเห็นด้านดีๆ ของช่วงเวลาที่เลวร้ายนั้นได้ไม่ยาก

เรามองย้อนกลับไปแล้วยิ้มกับมัน และบึ้งตึงทุกครั้งเมื่อมองสิ่งตรงหน้า

 

เรื่องที่ยากอย่างหนึ่งในชีวิตคงเป็นการตระหนักว่าสิ่งตรงหน้าเราดีอย่างไร มันอาจจะไม่สมบูรณ์เหมือนที่เราเคยฝันไว้ในจินตนาการ แต่เมื่อเรามองด้วยความเป็นจริง เราอาจจะพบว่าตรงหน้านั้นก็มีเรื่องดีๆ อยู่มากมาย

แน่นอนในนาทีที่ยาก เรามองเทียบตรงหน้ากับอดีต และเห็นแต่ด้านแย่ ขณะที่เราโหยหาอดีตอันแสนหวาน

เราจะทิ้งสิ่งตรงหน้านี้ไปเลยไหม?

มันง่ายที่จะทิ้งอะไรสักอย่างไป ง่ายกว่าที่เราจะกลับมานั่งคิดดีๆ ว่าเราจะมีความสุขกับการไม่มีมันจริงๆ รึเปล่า

 

เราอาจจะเลือกทางง่ายไปเรื่อยๆ เมื่อไม่พอใจอะไรสักอย่างก็ทิ้งมันไป แล้วก็เดินทางใหม่ แล้วพบกับช่วงเวลาที่เราไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมที่ผ่านมาเราจึงเจอแต่สิ่งที่แย่ลง

จนถึงวันหนึ่งที่เราอยากจะย้อนกลับไป ก็ไม่มีที่ให้กลับไปเสียแล้ว

 

บางทีลองมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเราอีกที แล้วค่อยๆ คิดว่าเราอยากจะทิ้งมันไปกลับไปหาสิ่งเดิมที่เราเคยประสบรึเปล่า

 

หลายครั้งอาจจะได้คำตอบที่เปลี่ยนการกระทำของเราเอง

 

Open Identity

ความเชื่ออย่างหนึ่งของผมคือในท้ายที่สุดแล้ว ระบบ Social Network ทั้งหมดจะพังลงมากลับมาเป็นเว็บอีกครั้ง

การรวมศูนย์ของระบบ Social Network เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุคของ Web 2.0 บริการบล็อกต่างๆ พากันรวมศูนย์เข้าสู่ที่ต่างๆ อย่างรวดเร็ว เว็บที่เคยเป็นการสร้าง HTML ไปอัพโหลดตามที่ต่างๆ กลับกลายเป็นการไปพึ่งพิงอยู่ให้บริการใหญ่ๆ ไม่กี่ราย

แล้วถ้า Social Network จะแตกดับกลับมาเป็นเว็บอีกทีจะเป็นอย่างไร?

ผมเองเชื่อว่า Social Network มันคือเรื่องของปฎิสัมพันธ์ มันคือการ “เม้น status” และการ “mention” กันไปมา (แม้ผมจะเล่น Social Network แบบไม่ mention ก็ตาม)

ทุกวันนี้ผู้ให้บริการอย่าง Facebook ให้บริการปุ่ม Like ในเว็บต่างๆ และ Comment Box สักวันหนึ่งบริการเหล่านี้จะขยายตัวออกไปจากการบีบคั้นด้วยการแข่งขัน ทำให้ผู้บริการเหลา่นี้ต้องยอมกับกิจกรรมหลายๆ อย่างที่อาจจะไม่ได้ดึงคนไว้ในเว็บตัวเอง

อนาคตเราน่าจะ mention กันไปมาจากในบล็อกของเราเองได้ ระบบน่าจะเปิดพอที่เราจะอ้างถึงคนจาก Social Network ใดๆ ในหน้าเว็บใดๆ ได้ อาจจะมีคน mention ถึงเรา บริการ Social Network เหลือหน้าที่คือการรวบรวมและคัดกรองว่าจะเตือนเราเมื่อมีคนพูดถึงเราเมื่อใด มีการโต้ตอบถึงเราในที่ใดๆ หรือไม่

จริงๆ แล้วแนวคิดนี้ของ Google Plus ก็แอบย่องๆ ทำไปแล้ว ด้วย rel-author สักพักเมื่อมันเสร็จ เราน่าจะได้เห็นอะไรรูปแบบเดียวกับการ mention กันในเว็บได้แทบทุกแห่ง

 

คิดมาก

บางทีก็ไม่รู้หรอกว่าควรทำไหม

นึกไม่ออกว่าเหมาะสมรึเปล่า หรือมันจะมีประโยชน์อะไรขึ้นมา

และก็ลังเลตลอดเวลา

แต่รู้สึกเอาว่าควรทำ ก็ทำลงไป

ก็เท่านั้น

 

The Reading Club

นั่งคิดเรื่องนี้มานาน คือมันควรจะมีกลุ่มที่แลกหนังสือกันอ่านเป็นเรื่องเป็นราว

ผมเองมีแนวคิดที่จะ “ไม่” เก็บหนังสือไว้กับตัว อ่านจบแล้วก็อยากปล่อยให้มันไปทำหน้าที่ของมันต่อกับคนอื่นต่อไป แต่นิสัยของตัวเองก็ไม่เหมาะกับห้องสมุดอีก เพราะว่าชอบอ่านหนังสือหลายเล่มพร้อมๆ กัน บางเล่มได้มาก็ดอง บางเล่มได้มาคืนเดียวก็อ่านจบ

แนวคิดที่อยากได้มากคือ “แบ่งกันอ่าน” ประเภทว่าใครอ่านจบแล้วก็แบ่งๆ กันไป

เคยคิดจะทำเว็บแบ่งปันหนังสือแบบนี้อยู่ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว แต่ยังคิดไม่ออกถึงโมเดลที่แน่นๆ แต่กำลังคิดว่าต้องเป็นระบบเครดิตบางอย่าง

ถ้าเราเอา “ราคา” บางอย่างที่ไม่ใช่ตัวเงิน ก็น่าจะช่วยได้ ด้วยการระบุว่า เลยคิดว่าถ้าทำเว็บ “เล่า” ความคิดเกี่ยวกับหนังสือ มันไม่จำเป็นต้องเป็นการรีวิว จะเล่าในมุมไหนก็ได้ จะเล่าความคิดที่ได้จากมันก็ได้ (เพราะไม่ได้ขายอยู่แล้ว) เราเขียนอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับหนังสือนั้นๆ ทุกครั้งที่เราเขียน เรามีสิทธิ “ขอ” หนังสือเล่มไหนก็ได้ที่ถูก “เขียน” ถึงมาก่อนหน้านี้

หนังสือเล่มที่เราเขียนถึง คือหนังสือที่เราพร้อมจะแจกมันออกไป พอมีคนอื่นๆ ที่มีเครดิตเข้ามาขอก็ต้องส่งให้ไป

ปัญหาที่คิดไม่ออกคือค่าใช้จ่ายในการส่ง ตอนเป็นกลุ่มเล็กๆ มันคงออกให้กันได้ แต่ระยะยาวจะมีปัญหาไหม?