ATM #2

จบเรื่องหนังไปแล้ว กลับมาเรื่องความคิดอีกที

  • หนังสะท้อนค่านิยมของไทยโดยรวมๆ สาวไทยต้องแต่งงานก่อน 30
  • ที่จริงแล้วสังคมยุคใหม่คงไม่ได้สนใจเรื่องแต่งงานก่อน 30 กันจริงๆ แล้ว แต่มันสะท้อนมาจากค่านิยม แต่งงานคือมีลูก น่าสนใจมากว่าค่านิยมแบบนี้กำลังกดดันให้สาวๆ ในเมืองกรุงเลือกที่จะ “ไม่แต่งแม่งเลย” (อ่านจาก economist)
  • เส้น 30 คือ barrier ของสังคมที่กำลัง crash กันระหว่างรุ่น รุ่นใหม่: การมีลูกเป็น optional, ทำงานทั้งสองคน, ดูแลกันและกัน ไม่ใช่ให้ใครเอาใจใคร กับ รุ่นก่อนหน้า: ต้องมีลูก (ซิ), คนนึงหาเลี้ยง อีกคนดูแลบ้าน, ชั้นทำให้ลูกชายชั้นมาอย่างดี เธอมาก็ต้องทำได้เท่ากัน
  • การ crash กันแบบนี้สะท้อนออกมาในหนังอีกหลายต่อหลายเรื่อง ไอ้ประเภท 30+ ทั้งหลายนั่นล่ะ
  • ไอ้ที่ว่า crash กันนี่บางทีก็อยู่ในคนๆ เดียว อย่าแปลกใจถ้าแฟนหนุ่มบางคนงงๆ ว่าจะวางตัวยังไงกับแฟนดี จะให้ทำงานด้วยกันดีมั๊ย หรือจะให้อยู่บ้าน หรือที่บ้านจะว่ายังไง ภาวะงงๆ นี่ก็ออกมาในหนังอีกเหมือนกัน (งงสองต่อเพราะผู้หญิงเงินเดือนดีกว่า ทำลายกำแพงด้านเศรษฐกิจของครอบครัวไปอีก)
  • เรื่องงาน จริงๆ หลายคนคงมีปัญหาการคบกันในที่ทำงานอยู่แล้วจริงๆ ค่านิยมคนเมืองจำนวนมากกลัวการคบกับเพื่อนร่วมงาน ตัวหนังก็แค่เอามาขยายให้เว่อๆ
  • เด็กฝึกงาน… อันนี้ถ้ากลับเพศเคยเจอ เคสแบบในหนังนี่ยังไม่เคยเจอ
 

มองที่เดิม

บางทีผมเองก็ชอบมองประวัติตัวเอง

อาจจะเป็นเมลเก่าๆ ภาพเก่าๆ blog เก่าๆ กระทั่ง chat log

มองแล้วก็ถามตัวเองว่าคิดอะไรถึงได้ทำอะไรอย่างนั้นไป

มองแล้วก็ถามตัวเองว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราทำอะไรที่ต่างออกไป

มันเป็นคำถามที่ไม่มีวันมีคำตอบ

บางทีเหตุผลของการกระทำบางอย่างก็แทบจะสุ่มมั่วจนหาเหตุผลไม่ได้

ผลของการกระทำนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ที่เราไม่มีวันรู้ว่าผลจะเป็นอย่างไรถ้าการกระทำเราต่างออกไป

แต่เราก็ยังมองกลับไปช่วงเวลาเหล่านั้น

แล้วคำถามก็ยังอยู่กับเราต่อไป….

 

ATM

  • มึงจะเกาหลีไปไหนครับ นึกว่าดู My Sassy Girl ภาคสาม
  • ผลคือนางเอกแสดงขัดๆ ตลอดเวลา มันรู้สึกแปลกๆ ทั้งเรื่อง ดึงอารมณ์ออกจากเรื่อง
  • พระเอกเล่นดี ขำไม่หลอก
  • สปอนเซอร์มีชั้นเชิงกว่ากวน มึน โฮ เยอะ หวังว่าจะดีขึ้นกว่านี้ไปเรื่อยๆ เลิกๆ เสียทีไอ้ที่อยู่ดีๆ ยัดๆ โลโก้เข้ามาในเรือง (ส่วนนึงคงเป็นเพราะยอมเอาสปอนเซอร์ขึ้นต้นหนังไปแล้ว ก็ยังดีกว่าแทรกมาแบบไร้รสนิยมนะ)
  • เข้าใจว่าตั้งใจทำขายต่างประเทศมาก มุขเป็นภาษากายเยอะ ต้องรอดูว่าจะทำสำเร็จไหม
 

Single Task Nation

ช่วงนี้พยายามทำความเข้าใจกับแนวคิดที่ผมจัดอยู่ในระดับ “แปลกประหลาด” (บางครั้งก็เรียกว่า “ส้นตีน” ได้เต็มปากเต็มคำ) ความคิดแบบหนึ่งที่เจอบ่อยๆ คือ เราต้องทำเรื่อง XXX ก่อนเรื่องอื่นๆ

ความคิดแบบนี้หาได้ไม่ยากตามทีวีต่างๆ เรามักจะเจอผู้รู้มาเสนอ “รากเหง้า” แห่งปัญหาทั้งปวงของประเทศไทย ประชาชนผู้รับชมจะรู้สึกมีความหวังกับประเทศชาติภายใน 30 นาทีของรายการนั้นๆ รู้สึกว่าถ้าเราแก้ปัญหานี้ปัญหาเดียวได้ ทุกอย่างก็จะพลันสวยงาม

ปัญหาในแบบละครหลังข่าว ทั้งหมดเกิดจากปมเล็กๆ ผูกกันโยงใยเรื่อยมา และมันแก้ได้ เพียงแค่แม่พระเอกรู้ความจริงของลูกสะใภ้แสนดีในช่วงเวลา 30 นาทีก่อนละครอวสานเท่านั้น เรื่องราวที่ฉายมาสามเดือนก็พลันสดใส

ความฝันของคนกลุ่มนี้จึงผูกกับความหวังแบบนี้ไปเรื่อยๆ เพียงแค่เราหยุดทุกเรื่องไว้ ช่างหัวแม่งมันไป แล้วไปแก้ไขปมรากเหง้านั้นได้ ประเทศไทยจึงเจริญวัฒนาถาวรสืบสวัสดีเป็นนิรันดร์กาล

เรื่องจริงคือมันไม่มีตอน “จบบริบูรณ์” แบบในละครหลังข่าว แม่สามีหูเบายังคงทำเรื่องเลวร้ายหลังพระเอกนางเอกครองรักกันสืบไป ดีไม่ดีแม่พระเอกเลิกยุ่งแล้ว ก็มีเหตุผลล้านแปดที่ทั้งสองจะเลิกกันไปเอง และในชีวิตจริงมันไม่มีปมที่ตรงไปตรงมา ความฝันล้านแปดที่บอกว่าเจอปมสำคัญ หลายครั้งเมื่อแก้มันได้จริงก็เหมือนกับวิ่งตามฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง

คนมีความคิดตื้นๆ แบบนี้ไม่สามารถมองภาพรวมการแก้ปัญหาใดๆ ได้ พวกเขารอตอนจบไปเรื่อยๆ ที่ว่าวันหนึ่งจะมีตัวอักษรสีชมพูมาบอกพวกเขาว่าพวกเขาได้เจอตอน “จบบริบูรณ์” พวกเขาต้องการ “ชัยชนะ” ตลอดเวลา เพราะสิ่งนั้นมันหล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเขา

เขาสู้มาตลอดเพื่อสิ่งนี้ (แม้พวกเขาจะทำความฉิบหายให้กับสิ่งอื่นไปบ้าง) แต่หากพวกเขาชนะ มันจึงเป็นความบริบูรณ์ในชีวิต

ก็ขอให้โชคดี….