Open Deeds

ความหลากหลายของอินเทอร์เน็ตทำให้คนจำนวนมากมาเจอกันทั้งที่เขาเหล่านั้นอาจจะไม่มีวันได้เจอกันเลยในโลกความเป็นจริง พวกเขาถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันในมิติที่ต่างออกไปจากคนยุคก่อนหน้า แทนที่จะเจอกันจริงๆ เพื่อทำความรู้จัก แต่คนในยุคนี้และยุคต่อๆ ไปจะเจอคนตามเรื่องราวความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ

ปัญหาอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นคือความแตกต่างระหว่างกลุ่มคนที่มาเจอกันนั้นจะมากขึ้นเรื่อยๆ การรู้จักกันตัวจริงๆ เรามีข้อมูลมากมายที่จะคาดเดาฝ่ายตรงข้ามได้ เราประเมินอายุ เพศ ศาสนา รสนิยม ฯลฯ ได้ทันทีที่พบกัน  แต่ในอินเทอร์เน็ต ทั้งหมดกลายเป็นเพ่ียงตัวอักษร

เมื่อทำความรู้จักกันบนโลกความเป็นจริง เรามีโอกาสที่จะปรับตัวล่วงหน้า ระมัดระวังในบางเรื่อง

ช่วงนีคิดถึงเรื่องของการ “ประกาศตัว” เพื่อให้คนที่เข้ามาพูดคุยด้วยได้รู้ว่าตัวตนเบื้องต้นของเราเป็นอย่างไร เพื่อให้คนอื่นๆ สามารถทำความเข้าใจได้ดีขึ้น เช่น

  • ผมมองว่าการ unfollow/unfriend ไม่ได้แปลว่าไม่พอใจกัน
  • ผมรับไม่ได้ต่อการพูดคำหยาบ
  • ผมรับได้ต่อการพูดเรื่องเพศ
  • ฯลฯ

เราอาจจะสร้างหน้าเว็บสำหรับแนวทางแคบๆ เหล่านี้ขึ้นมา แต่ละแนวทางแคบๆ เช่นนี้มีโลโก้ของมันเองอย่างชัดเจน มีคำอธิบายที่เข้าใจได้ภายในไม่กี่ประโยค

รูปแบบนี้เป็นรูปแบบเดียวกับ Creative Commons ที่มี deed ให้อ่านเข้าใจได้ง่ายๆ และมีโลโก้ให้แต่ละคนแสดงตัวได้อย่างชัดเจน

การขยายแนวทางนี้ออกไปให้ไม่จำกัดอยู่แค่ลิขสิทธิ์ แต่เป็นแนวทางในสังคมร่วมกัน ในเว็บหนึ่งๆ เองก็อาจจะประกาศแนวทางของตัวเองด้วย deed ชุดหนึ่ง ระบบทั้งหมดอาจจะทำให้คอมพิวเตอร์อ่านเข้าใจได้ (เป็น semantics) เราอาจจะมีเบราเซอร์ตรวจสอบแนวทางของเว็บ และตรวจสอบว่าเข้ากับแนวทางส่วนตัวของเราหรือไม่ เมื่อเราเข้าเว็บใดๆ เราอาจจะได้รับคำเตือนเช่น “เว็บนี้ยอมรับได้กับการเซ็นเซอร์เนื้อหาแม้ไม่ขัดแต่กฏหมาย แต่ …….. แนวทางทางนี้จะขัดต่อแนวทางของคุณว่าการเซ็นเซอร์ต้องเป็นไปตามกฏหมายเท่านั้น” เป็นต้น

 

ผู้หญิงคนแรก

เคยเขียนเรื่องคนดีไว้ที่ไหนสักที่ ว่าเวลาเราดีใจที่เราพบคนดีในสังคม นั่นเป็นเครื่องยืนยันว่าสังคมเราน่าเวทนาที่ต้องแสดงความยินดีเมื่อเจอคนดี และอีกแง่เรากำลังรู้สึกว่าการทำความดีเป็นเรื่องพิเศษที่ห่างไกลตัวเราเอง

ในแง่ของความเท่าเทียมทางเพศก็เช่นกัน ถ้าเรายังต้องแสดงความดีใจทุกครั้งที่มีผู้หญิงทำหน้าที่ต่างๆ และไปแสดงความยินดีเพราะเธอเป็น “ผู้หญิง” เป็นการยืนยันว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องแปลก และเป็นความน่ายินดีที่มันเป็นเรื่องแปลกเสียด้วย

ในแง่หนึ่งการดีใจกับคนที่ก้าวสู่ตำแหน่งต่างๆ ได้เพราะว่าเธอเป็นผู้หญิง คือการดูถูกว่าเธอเป็นผู้หญิงจึงได้รับการยกย่องในตำแหน่งเดียวกันเป็นพิเศษ

ถ้าใสใจความเท่าเทียม อาจจะต้องเริ่มจากการมองอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นด้านดีและด้านแย่

 

ราคาแห่งความจน

วันนี้ไปเดินหาอะไรกินในซุปเปอร์แถวบ้าน…

เจอแชมพูลดราคาอย่างหนัก ขวดขนาดหนึ่งลิตร ลดราคาอย่างไรเหตุผล เพราะมันถูกกว่าขวด 700cc. ที่วางอยู่ข้างๆ เสียอีก ผมซื้อมาหนึ่งขวด ทั้งที่ที่บ้านยังมีใช้ไปได้อีกอย่างน้อยสองเดือน

ที่บ้านผมเองมีของที่ต้องใช้เป็นประจำเหล่านี้สะสมในระดับที่ใช้งานได้เกินสามเดือนข้างหน้าเสมอๆ ทุกชิ้นล้วนซื้อมาในช่วงที่ค่อนข้างแน่ใจว่าได้ราคาต่ำสุด หลายชิ้นต่ำกว่าราคาเฉลี่ยในตลาดมากกว่าครึ่ง

เมื่อกลับมามองดูต้นทุนการดำรงค์ชีวิตพื้นฐานของผมแล้ว ผมพบว่ารายจ่ายเฉลี่ยสำหรับของพวกนี้ของผมถูกมาก

ผมทำเช่นนี้ได้เพราะมีทุนเพียงพอที่จะบอกว่าการซื้อล่วงหน้าเป็นเวลานาน

ผมนึกถึงสัมภาษณ์นักธุรกิจคนหนึ่ง เขาบอกว่าการทำธุรกิจกับกลุ่มรายได้ต่ำคือการแบ่งขายในขนาดเล็ก แม้จะขายราคาต่อหน่วยแพงขึ้นก็ตาม

แชมพูขวดหนึ่งอาจจะใช้ได้ต่อเนื่องสามเดือนเต็ม ในราคาไม่ถึงร้อย แต่คนรายได้น้อยกลับต้องจ่ายวันละ 5 บาทเพื่อใช้มัน

ความจนอาจจะไม่ได้เกิดจากความพยายามสิ้นเปลืองไปทั้งหมดเสียทีเดียว ความจนอาจจะเกิดจากความไม่มี

เราอาจจะรู้สึกว่าคนจนนั้นโง่ที่ได้เงินมาแล้วไปซื้อมอเตอร์ไซต์ นั้นเป็นเพราะเราอยู่ในเมืองที่มีระบบขนส่งมวลชนซับซ้อนและครอบคลุม

เราอาจจะไม่คิดอย่างนั้น ถ้าทุกครั้งที่เราต้องการเข้าตัวจังหวัด มันหมายถึงการเหมารถกระบะในหมู่บ้านออกไปครั้งละ 300 บาท การสิ้นเปลืองกับสิ่งที่ไม่ใช่ปัจจัยกลายเป็นเรื่องสมเหตุสมผลในทันที

ผมมองขวดแชมพูแล้วแอบคิดในใจ ว่าถ้าคนที่ต้องซื้อซองละห้าบาท เขาสามารถซื้อแชมพูขวดนี้ไปแล้วค่อยๆ จ่ายตามราคาพร้อมดอกเบี้ยได้

ชิวิตเขาคงดีขึ้นไม่น้อย

 

ศีลธรรมทำให้ฆ่า

แม้จะพูดและแสดงออกหลายๆ ครั้งเป็นกลุ่มเสรีนิยม แต่การใช้ชีวิตส่วนตัวผมนั้นเป็นแนวอนุรักษ์นิยมค่อนข้างมาก  (ในโลกความเป็นจริงก็ไม่มีใครยืนข้างไหนสุดตัวอยู่แล้ว) เช่น การไม่เห็นด้วยกับการอวัยวะ, ไม่เห็นด้วยกับการทำแท้ง ฯลฯ

แต่เรื่องหนึ่งที่ผมไม่เห็นด้วยเสมอมา คือการเอา “ศีลธรรม” ส่วนตัวไปทำเป็นกฏหมาย ศีลธรรมควรมีสภาพบังคับจากการสอน โน้มน้าว และได้รับการยอมรับจากจิตใจ ไม่ใช่การเอาศีลธรรมไปสวมให้คนอื่นๆ ด้วยการบังคับ

กฏหมายที่บังคับแบบรวมกลุ่มนั้น ควรเป็นกฏเพื่อให้ทุกคนในที่นั้น “โดยปรกติ” สามารถอยู่ร่วมกันได้ (ถ้ามีฆาตกรโรคจิตคงบอกไม่ได้ว่าปรกติ) ไม่ใช่การวางจากรากฐานแห่งศีลธรรม ที่เอาเข้าจริงแต่ละคนก็ไม่ได้เหมือนกัน แต่มีคนกลุ่มเล็กๆ บางกลุ่มพยายามเอาไปวางฐานให้คนอื่นทำตาม

ไม่ใช่แค่ว่าศีลธรรมมัน “มาก” เกินไปสำหรับการอยู่ร่วมกัน แต่ศีลธรรมไม่ใช่กฏสำหรับการอยู่ร่วมกันแต่แรก ศีลธรรมในหลายศาสนาเน้นการให้อภัย เพียงการยอมรับ โดยตัวศีลธรรมก็ถือว่าหายกันไป และต้องให้อภัย “ทั้งหมด” เพื่อที่จะเริ่มกันใหม่ เราคงไม่สามารถวางกระบวนการยุติธรรมจากระบบนี้ได้ หากทุกครั้งที่มีคนรับสารภาพในศาลแล้วก็ถือว่าหายกันไป เริ่มกันใหม่

แต่น่าแปลก คนอันเปี่ยมไปด้วยศีลธรรมในสังคมตอนนี้ ในภาวะหนึ่งช่างผุดผ่อง เป็นคนดี

แต่เมื่อพบคนที่ทำผิดไปจากเส้นศีลธรรมของตัวเอง คนเหล่านี้ก็พร้อมจะลืมเส้นศีลธรรมไปพร้อมกัน แล้วร้องตะโกนว่า “ฆ่ามัน”

พวกเขาไม่สนใจถึงศีลธรรมแห่งการเมตตาหรือให้อภัย พวกเขาลืมไปแม้แต่หลักของความยุติธรรม พวกเขานึกไม่ออกว่ายังมีคนอีกมากมายที่มีหลักศีลธรรมต่างจากเขา และทุกคนต้องอยู่ร่วมกัน

พวกเขาปกป้องศีลธรรมด้วยการฆ่า