Knowledge is and will be produced in order to be sold, it is and will be consumed in order to be valorised in a new production: in both cases, the goal is exchange.
Jean-François Lyotard
Just for remarking the new thing in my collection.
Knowledge is and will be produced in order to be sold, it is and will be consumed in order to be valorised in a new production: in both cases, the goal is exchange.
Jean-François Lyotard
Just for remarking the new thing in my collection.
เมื่อสามเดือนที่แล้วมีวันหนึ่งที่ต้องทดสอบโปรแกรม ตามรอบการทดสอบ แล้วพลาด ระบบไม่ผ่านการทดสอบชุดนึงจนต้องทดสอบใหม่ตามตารางอีก “สัปดาห์” เซ็งจัดๆ เลยไปเดิมสยาม ในหัวคิดว่าจะซื้อหนังสือสักเล่มแก้เซ็ง
ได้ Cloud Atlas มาเพราะจำได้ว่าหนังดูแล้วน่าสนใจมาก เปิดผ่านๆ เจอบท Sonmi แล้วก็ยังน่าสนใจเพราะบรรยายฉากโลกอนาคตแบบ dystopia ไว้อีกแบบ
แต่พออ่านจริงจังนับแต่บทแรกก็พบความฉิบหายในทันที หนังสือแบ่งออกเป็น 6 ยุคเช่นเดียวกับในหนัง และทั้ง 6 ยุคคนเขียนเลือกใช้ภาษาที่ต่างกันออกไปจนอ่านยาก จากบทแรกที่ใช้ศัพท์เก่าจนไม่เคยเจอ ไปจนถึง บทที่ 6 นี่อยู่ในระดับอ่านแทบไม่ออกเพราะไม่เป็นภาษาคน บทที่เหลือก็มีความประหลาดของตัวเองต่างๆ กันไป
การสลับเรื่องไปมาทำให้ช่วงท้ายจำได้ยากด้วยว่าเรื่องราวต่อกันยังไง ความยากของหนังสือทำให้ค่อยๆ อ่านมาเรื่อยๆ จนกว่าจะจบก็ซัดไปสามเดือน
พออ่านจบแล้วก็ถือว่าเป็นบทลงโทษของความผิดพลาดเมื่อสามเดือนที่แล้ว
เรามีหนังและมีนิยายมากมากเกี่ยวกับ “ความสามารถพิเศษ” ที่พูดถึงคนที่ความจำดีอย่างเกินธรรมชาติ เราพูดถึงความเจ๋งไปพร้อมๆ กับความทรมานกับการสูญเสียความสามารถในการลืมไป
แต่จะเป็นอย่างไรถ้าเรา “ทุกคน” กลับมีความสามารถแบบเดียวกันนี้
โลกที่ไม่ลืมเป็นความฝันของนักวิจัยที่อย่าง Mark Weiser ที่ทำนายไว้ว่าจะมีวันหนึ่งที่พื้นที่เก็บข้อมูลของเรามากพอ จนกระทั่งเราไม่ลบอะไรอีกเลย โดยเขาทำนายไว้ที่ความจุ 1TB ที่ทุกคนจะไม่สนใจลบไฟล์อีก
ซึ่งไม่จริง ทุกวันนี้ภาพความละเอียดสูง วิดีโอ 4K, วิดีโดสโลวโมชั่น ทำให้เราผลิตข้อมูล 1TB ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงได้อย่างง่ายดาย เราสามารถผลิตข้อมูลมหาศาลจนเราเองไม่สามารถหาที่เก็บมันได้อย่างเพียงพอ เมื่อเราเลือกเก็บ ข้อมูลบางส่วนหายไประหว่างทาง ภาพความละเอียดสูงหายไปกับฮาร์ดดิสก์ลูกเก่า เหลือเพียงภาพความละเอียดต่ำที่อัพโหลดไว้บางภาพ
ขณะเดียวกัน ภาพใหม่ๆ จำนวนมหาศาลก็ทำให้เรา “ลืม” ภาพเก่าๆ ไปจำนวนมาก แม้มันจะกองอยู่ในฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊ก ห่างจากมือของเราไปไม่กี่มิลลิเมตรอยู่ทุกวันก็ตามที
แต่ปัญญาประดิษฐ์ กำลังทำให้เราทุกคนเสียความสามารถในการลืมไปอย่างถาวร….
หลายก่อนที่เป็นช่วงก้าวกระโดดของวงการสตอเรจในคอมพิวเตอร์ โลกเพิ่งเห็นแผ่นซีดี, ฮาร์ดดิสก์ขนาดเกิน 1GB, เทปขนาดหลายร้อยเมกกะไบต์ สิ่งหนึ่งเราเรามักจะเอามาเทียบกับความจุเหล่านี้คือจำนวนหน้าหนังสือ หรือบางทีก็เอามาเทียบว่าเป็นไบเบิลกี่เล่ม
ประวัติศาสตร์และคำสอนของศาสนาคริสต์ทั้งหมด รวมอยู่ในข้อความแบบยังไม่บีบอัดเพียง 4.3MB เท่านั้น คำสอนนี้นิยามตัวตนของผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียนจำนวนมหาศาล ขณะที่ข้อมูลระดับเทราไบต์ที่เราถ่ายวิดีโอช่วงเวลาสั้นๆ ของเรากลับไม่ได้บอกตัวตนอะไรเรามากมายนัก
ไม่ว่าจะบอกว่าเป็นประสงค์ของพระเจ้า หรือคนศาสนาอื่นอาจจะบอกว่าเป็นความสามารถของเหล่า Apostle ในศาสนา แต่ไบเบิลก็ถูกบีบอัดข้อมูลประวัติศาสตร์นับพันปีมาอย่างปราณีต ข้อมูลช่วงสำคัญถูกเลือก ถูกเล่าในรูปแบบที่เน้นถึงจุดสำคัญ จนกระทั่งออกมาเป็นหนังสือที่มีจำนวนอักขระไม่ได้มากมายกว่าหนังสือหนาๆ เล่มอื่นๆ ในโลก
เราเห็นพลังของการบีบอัดเอาช่วงสำคัญเช่นนี้ เช่น จดหมายเหตุของชาติต่างๆ, บันทีกที่เหล่าขัณฑีบันทึกการกระทำของฮ่องเต้ในจีน, ปูมเรือที่จดโดยเหล่าลูกเรือ
ปัญญาประดิษฐ์กำลังเข้ามาทำหน้าที่นี้ให้กับ… ทุกคน
ปัญญาประดิษฐ์แสดงความสามารถสำคัญหลายอย่างที่จะบีบอัดเรื่องราวของเราไว้ให้มีขนาดเล็กแบบเดียวกับไบเบิลที่เลือกสรรค์ประวัติศาสตร์มาเป็นอย่างดี เมื่อเราถ่ายรูป ปัญญาประดิษฐ์เริ่มมีความสามารถในการบรรยายรูปภาพเหล่านั้นดีขึ้นเรื่อยๆ
คงไม่ใช่เรื่องยากที่วันหนึ่งเราถ่ายภาพทิ้งขว้าง ปัญญาประดิษฐ์จะสามารถแนะนำให้เราลบภาพที่ไม่มีค่า (เช่นเบลอหรือถ่ายพลาด) ออกได้ทันที ภาพทุกภาพจะถูกบรรยายอย่างละเอียด ใครอยู่ในภาพบ้าง เป็นงานอะไร กำลังทำอะไร หากเราพบใครสักคนเป็นครั้งแรก ปัญญาประดิษฐ์จะบันทึกวันที่เราพบกันไว้อย่างแม่นยำ
เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อพื้นที่ดิสก์เริ่มเต็ม ปัญญาประดิษฐ์จะเลือกลบ หรือย่อรูปที่ไม่มีคุณค่าออกจากระบบ ภาพบางภาพจะถูกครอปเฉพาะจุดสำคัญ วิดีโอความละเอียดสูงถูกตัดเลือกช่วงเวลาสำคัญที่สุด เวลาอื่นๆ ถูกย่อลงเหลือความละเอียดต่ำหรือเลือกภาพแค่บางเฟรมออกมา
ข้อมูลดิบหายไป แต่ความทรงจำของเราถูกบรรยายไว้อย่างปราณีต เรื่องราวที่เราพบเจอถูกบันทึกเป็นข้อความอย่างละเอียด ข้อความทั้งหมดที่บรรยายชีวิตของเราแต่ละวันอาจจะไม่กี่ร้อยกิโลไบต์ แต่มันกลับเป็นบันทึกที่ละเอียดจนไม่มีใครทำได้ แต่ละปีข้อมูลที่ถูกจดบันทึกนี้มีเพียงไม่กี่สิบเมกกะไบต์ มูลทั้งชีวิตของเราที่ไร้ภาพ กลับถูกบรรยายไว้ทุกแง่มุมในขนาดรวมไม่กี่กิกะไบต์ ภาพสำคัญ วิดีโอ เสียง ฯลฯ ถูกลิงก์เข้ากับข้อความแต่ละส่วน
เมื่อเราพบกับใครสักคนและได้ร่วมงานหรือพบเจอกัน เราจะสามารถดึงความสัมพันธ์ของเรากลับมานั่งทบทวนได้ทั้งหมด
เราจะไม่ลืมอีกต่อไป
ผมไม่รู้ว่าเราจะความสุขกับโลกแบบนี้ไหม ไม่ใช่ทุกคนที่มีความสุขกับการที่เฟซบุ๊กเตือนให้เพื่อนๆ มาอวยพรวันเกิด การที่เราจำเรื่องราวของกันและกันได้อย่างละเอียด แต่เราก็รู้ว่าต่างฝ่ายต่างไม่ได้จำจริงๆ แต่เป็นความทรงจำที่คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการให้เช่นนี้เป็นสิ่งที่เราจะอยู่ร่วมกับมันอย่างไร
คงเป็นคำถามที่เราจะได้คำตอบกันในช่วงชีวิตของเราเอง
เรื่องที่เสียใจที่สุดไม่ใช่การที่แอปเปิลตัดรูหูฟังออก (อีกไม่กี่ปี มือถือจำนวนมากก็น่าจะตัดออกเหมือนกัน) แต่เป็นการที่แอปเปิลเลือกจะตัดรูหูฟังโดยใช้พอร์ต Lightning
มันแปลว่าแอปเปิลจะต้องซัพพอร์ต Lightning ไปอีกนานเพราะชวนลูกค้าซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่มอีกอย่างไปแล้ว
มันแปลว่าความฝันที่ว่ามือถือ (และแลปทอป) ทั้งหมดจะหันมาใช้พอร์ตร่วมกันทั้งโลก จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในอีกสองสามปีข้างหน้า
แอปเปิลมีโอกาสที่ดีที่สุดที่จะรวบทุกพอร์ตให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ถ้า iPhone 7 ใช้ USB-C (เหมือน MacBook) มันจะเป็นสัญญาณของการรวบพอร์ตให้เป็นหนึ่งเดียวครั้งใหญ่ที่สุด
แม้แอปเปิลตัดพอร์ตหูฟังไป แต่อุปกรณ์เสริมก็จะไมใช่ของแปลกประหลาด การลงทุนกับอุปกรณ์เสริมจะเป็นเรื่องเล็กหากมันสามารถใช้งานได้ทุกที่
โลกได้พลาดโอกาสนั้นไปแล้ว