LTF/RMF

เห็นเริ่มมีถกเถียงกันเยอะขึ้นเรื่อยๆ บันทึกความคิดตัวเองเกี่ยวกับ LTF/RMF ไว้หน่อย

TL:DR ควรยกเลิกรูปแบบที่เป็นอยู่

ไม่ว่าเราจะบอกว่า RMF เป็นการสนับสนุนให้คนออมหรืออย่างไร ระบบการจูงใจ LTF/RMF ทุกวันนี้ออกแบบไว้ในขั้นแย่ มันลดภาษีให้คนฐานภาษีสูง ที่น่าจะมี รายรับส่วนเกิน (จากการใช้เพื่อดำรงค์ชีพ) สูงอยู่แล้ว มากกว่าคนฐานต่ำ

LTF บอกว่าทำให้ตลาดหุนมีเสถียรภาพนี่ก็ไร้สาระ ปีๆ นึงนักวิเคราะห์ต้องออกมาวิเคราะห์ว่าเงินจะเข้าจะออกจากตลาดหุ้นเท่าไหร่ กระทบ index เท่าไหร่ ถ้าไม่จูงใจ มั้นมีเสถียรภาพตรงไหน

ถ้าจะทำต่อ อย่างน้อยก็ต้องปรับให้เป็นระบบเครดิตภาษี คนฐานภาษีต่ำได้มากกว่าหรือเท่ากับคนฐานภาษีสูง เช่น ซื้อ 100,000 คืนภาษี 15,000 ไม่สนฐานภาษี คนรายได้น้อยแต่ออมเยอะ อัตราภาษีก็อาจจะต่ำลงจนถึงหายไปเลย ให้คนชั้นล่างลืมตาอ้าปากได้ง่ายขึ้น ส่วนคนฐานภาษีสูงก็ต้องไม่ “ได้ประโยชน์” มากไปกว่าคนฐานภาษีต่ำ ไม่ใช่คนฐาน 35% คิดส่วนลดภาษีแล้วแทบไม่มีทางขาดทุนเลยแบบทุกวันนี้

คนฐานภาษีสูงๆ นั้นไม่ต้องไป “จูงใจ” ให้เขาลงทุนมากหรอก คนเหล่านี้เขามี surplus สูง เงินเก็บเยอะ เขาทนเห็นดอกเบี้ยฝากประจำไม่ได้นานหรอก ถึงจุดหนึ่งเขาหาทางซ้ายขวาจัดพอร์ตลงทุนตัวเองทั้งนั้น คนพวกนี้ธนาคารรักขาดใจ ส่งที่ปรึกษามาชวนจัดพอร์ตการลงทุน (เพื่อหวังค่าธรรมเนียม) ด้วยซ้ำ

ระยะยาวถ้าจะจูงใจ เห็นแก่ว่าเป็นเงินเก็บยามชรา ก็งดภาษี capital gain หากซื้อครบตามเงื่อนไขก็พอแล้ว

 

The History of the Future

ผมเคยคิดว่า VR “จะมา” แล้วสมัย Google Cardboard เพราะมันคือจุดแรกของการนำ VR ไปสู่ทุกคนได้จริงๆ

แต่ผ่านไปหลายปี ความเชื่อนั้นไม่เป็นจริง Cardboard เป็นแค่ของเล่นชั่วคราวที่ไม่มีใครใช้งานจริง ไม่มีใครแชร์ภาพตอนไปเที่ยวเป็น VR แต่อย่างใด

หลังจากลองเล่น Oculus Go แล้ว ส่วนตัวพบว่าการใช้งานอย่างเดียวที่คิดออกคือใช้ดู Netflix ที่ให้ประสบการณ์ดูภาพจอใหญ่ได้ดีทีเดียว ส่วนการใช้งานอื่นแม้จะดูตื่นเต้น แต่ก็ไม่เห็นประโยชน์จริงจัง

แต่ทั้งหมดทั้งมวล เฟซบุ๊กลงเงินกับ VR ไปแล้ว มหาศาลและตอนนี้ยังไม่เห็นผลงานอะไรจริงจัง

หนังสือ The History of the Future ออกวันที่ 19 นี้เล่าประวัติการลงทุนใน VR ไว้คงซื้อมาอ่านตั้งแต่วันแรกๆ

 

Call the Midwife

ช่วงนี้ฟัง Call the Midwife หนังสือบันทึกโดยพยาบาลสูติสมัยช่วงหลังสงครามโลก ช่วงที่อังกฤษยังค่อนข้างยากลำบากเพราะเพิ่งผ่านสงคราม

ตัวหนังสือดังเพราะ BBC เอาไปทำซีรีส์มานานแล้ว ค่อนข้างดังมาก ยังไม่ได้ดู (ตัวหนังสือเปลี่ยนปกตาม)

แต่ละบทเล่าถึงเรื่องราวที่พบเจอ ชีวิตช่วงที่ผ่านเข้ามาพบกับพยาบาล แยกเป็นบทๆ ไม่ได้ต่อกันมากนัก คล้ายๆ หนังสือย้อนอดีตของไทยหลายเล่ม

อ่านไป 70% ไม่แนะนำให้อ่านเอาบันเทิง มันเศร้าเกินไป ผมเองฟังไปขับรถไปยังรู้สึกแย่ ทำไมชีวิตมันแย่ขนาดนี้ แต่เอาจริงๆ ในไทยเองช่วงสัก 20-30 ปีก่อนเราก็คงไม่ได้ดีกว่านี้มากนัก ทั้งคนที่ต้องตายจากกันไปก่อนวัย หรือสภาพสังคมที่โหดร้ายกับคนไม่มีที่พึ่ง

เนื้อเรื่องเขียนดี ถ้าเป็นคนไม่จิตตกนับว่าอ่านได้ไม่เสียดายเวลา

 

eSports ไม่ใช่กีฬา

หรือจะใช่ ก็ช่างมันเถอะ

เรื่องจริงคือเราต้องกลับมามองว่า “กีฬา” ทุกวันนี้มันคืออะไร เราสนับสนุนมันเป็นบ้าเป็นหลัง เพราะมันทำให้คนออกกำลังกายแล้วสุขภาพดีจริงๆ น่ะเหรอ? หรือมันเป็นธุรกิจที่เราอยากแข่งขัน เราเห็นฟุตบอลอังกฤษ, เยอรมัน, สเปน ทำแล้วดัง แล้วอยากได้อย่างเขาบ้าง

ย้อนกลับมาใหม่ เราควรยอมรับว่า กีฬาจำนวนมาก มันเป็นรายการบันเทิง คนดูมหาศาลสักกี่คนจะกลับบ้านมาแล้วจับกลุ่มเล่นกีฬาที่พวกเขาดู บาส, บอล, มวยปล้ำ

คนไทยนิยมวิ่งขึ้นมากในช่วงหลัง แต่กีฬาวิ่งก็ไม่เห็นคนนิยมดูมากขึ้น ช่วงหลังๆ มหกรรมกีฬาดูจะน่าสนใจน้อยลงด้วยซ้ำ

eSports เป็นกีฬาไหม คงเถียงกันได้ไม่จบ แต่โลกความเป็นจริงคือเวลามองจอ (screen time) ของเด็กรุ่นต่อไป จะถูกรายการพวกนี้กลืนกินไปเรื่อยๆ เด็กรุ่นต่อไปดู live การแข่งพวกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เบียดเบียนรายการบันเทิงแบบอื่นไปทีละน้อย การจัดแข่งสดจะมีคนไปดูในสนามมากขึ้นเรื่อยๆ มากกว่ากีฬานานาชาติรายการเล็กๆ หลายรายการ

ในโลกที่มีความเปลี่ยนแปลงเร็วสูง สุดท้ายมันคือเวลารับชม

คนเราอาจจะไปดูการแสดงคอนเสิร์ตหรือกีฬาที่สนามได้สัก 2 รอบต่อเดือนเท่านั้น คนทั่วไปมองจออาจจะ ดูละครสักเรื่องสองเรื่อง 5 วันต่อสัปดาห์ ดูบอลสักสองคู่

แต่ถ้าคนรุ่นต่อไปไป ดูละครเหลือเรื่องเดียว (แถมอาจจะไม่ดูละครไทย) ดูบอลคู่เดียว ดู eSport รอบสำคัญสัปดาห์ละแมตช์ ดูแคสเกมอีกสัปดาห์ละสองชั่วโมง

จะกีฬาหรือไม่ แต่สุดท้ายก็อยู่บนสนามแย่งชิงความสนใจของคนเหมือนกัน เช่นเดียวกับแพลตฟอร์ม ที่ทีวีกำลังพ่ายแพ้ เมื่อคนรุ่นต่อไปดูทีวีน้อยลงเรื่อยๆ