เดทกับ Geek

@[celerchan](http://celerachan.tumblr.com/post/48854123/thinkgeek-a-girls-guide-to-dating-a-geek) เขียนใน Tumblr ว่าทำมันยาก (จนเขียนตำราได้เลย) มาไล่ดูดีกว่า

1. Geek ส่วนมากบ้างาน แม้ตัวเค้าเองจะมองว่าไม่ใช่งานก็เถอะ สาวที่ไหนจะมาเข้าใจว่าเขียน python เล่นๆ กับเขียน java ที่ทำงานมันคนละเรื่องกัน
2. พูดไม่รู้เรื่อง ถ้าใครไป barcamp แล้วได้ไปนั่งกินข้าวหลังเลิกงาน เอาสาว non-geek ไปนั่งฟังมุกตลกแล้วจะเห็นว่าเป็นมุกสลดซะเยอะมาก
3. ตัวงานเองเวลาก็บ้าๆ บอๆ อยู่แล้ว เข้างาน 11 โมง เลิกสามทุ่ม ห้างปิด หนังหมดรอบ สัญญาไว้ว่าจะพาไปดูแล้วไม่ได้ไป วันเสาร์ on call อีก
4. ต่อจากข้อเมื่อกี๊ ก็เลยนอนดึก (โคตร) อีก
5. สนุกกับการเถียง เวลาถกกันแบบเถียงแล้วพวก Geek จะรู้สึกว่ารู้จักกันมากขึ้น เข้าใจการใช้เหตุผลของอีกฝ่าย แล้วสาวเจ้าก็จากไป
5. หลุดจากงานมาได้ ก็ย้ำคิดย้ำทำ Geek มักชอบทำอะไรอย่างเป็น pattern เช่นอ่านหนังสือตลอดเวลา (ที่ไม่อยู่หน้าคอม) เขียนโน่นเขียนนี่ไปเรื่อยๆ ฯลฯ

แต่จะยากแค่ไหน ว่ากันว่าความรักชนะทุกอย่าง (รึเปล่า?)

 

Agree

ไม่ว่างเขียนมาหลายวัน จริงๆ แล้วมีบทความเชิงเทคนิคจำนวนมากที่ผมอยากจะเขียนอยู่เรื่อยๆ แต่ยังไม่ได้เขียนเพราะติดงานหลายๆ อย่าง และพบว่าการเขียนบทความที่คิดไว้ว่าจะกลายเป็นหนังสือนั้นใช้พลังมากกว่าที่คิดเยอะมาก

แต่วันนี้ขอแว่บมาเขียนเรื่องสั้นๆ สักหน่อยจากความเห็นล่าสุดในบทความเรื่อง [We’re just pity](http://lewcpe.com/blog/archives/688/were-just-pity/)

ไม่แน่ใจว่าหลายคนสังเกตรึเปล่า แต่บทความที่ผมเขียนและอ้างถึงแนวคิดของคนหลายๆ คนนั้น มีไม่น้อยเลยที่ความคิดเหล่านั้นเป็นความคิดที่ผมไม่เห็นด้วยแม้แต่น้อย แต่ความคิดเหล่านั้นเป็นความคิดที่__มีนัยสำคัญ__ที่ผมจะกลับไปนั่งคิดถึงและกลั่นกรองมันออกมาเป็นบล็อกซึ่งหลายๆ ครั้งเป็นแค่การสรุปสาระสำคัญของแนวคิดตามความเข้าใจของผมเอง

มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งจากรุ่นพี่ของผมเรื่องคนขับสามล้อถูกหวย เป็นเรื่องของคนขับสามล้อที่ถูกหวยมูลค่าหลายล้านบาท ชีวิตที่รายได้ต่อเดือนไม่ถึงหนึ่งหมื่นบาทกลับมีเงินที่คนทำงานเงินเดือนมากๆ ยังเห็นอยู่เพียงไกลๆ

เขาใช้เงินนั้นหมดไปในเวลาไม่กี่วัน….. แล้วกลับไปขับสามล้อตามเดิม

มีรายการทีวีรายการหนึ่งไปถามเขาว่าเขาเสียดายเงินหลายล้านนั้นบ้างไหมที่ใช้หมดไปอย่างรวดเร็ว

คนขับสามล้อนั้นตอบว่าไม่เสียใจ และถามกลับว่าจะมีสักกี่คนในโลกนี้กันที่มีโอกาสใช้เงินได้อย่างเขา

น่าสนใจ!!!

แน่นอนผมเห็นด้วยกับการผลาญเงินโดยไม่คิดถึงสภาพความเป็นอยู่ที่อาจจะดีขึ้นจากเงินจำนวนนั้นได้ แต่เรื่องราวนี้ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่ มันเตือนให้ผมคิดว่ากี่ครั้งกันที่ผมจมอยู่ในความกลัวจนกระทั่งไม่กล้าทำอะไรบางอย่างที่ตั้งใจจะทำมาเป็นเวลานานแสนนาน ผมพลาดอะไรไปบ้างทั้งที่ผมไม่ควรพลาดมันไป

ปล. สำหรับน้องๆ ที่รอโจทย์ Shell Script

– ข้อแรก จงเขียนโปรแกรมตัดประโยคแรกของแต่ละบรรทัดใน Text file
– ข้อสอง จงเขียนโปรแกรมตัด e-mail ทั้งหมดใน text file (ใช้ regular expression)
– เรียงคำสั่งที่ใช้บ่อยที่สุดสิบคำสั่งแรกออกมา (มีเฉลยอยู่แถวนี้ด้วยนะ)
– เขียนโปรแกรมตัด Title ของเว็บ รับ argument เป็น url (ใช้ curl หรือไม่ก็ wget)

 

Reverse Globalization

ภาวะน้ำมันแพงในช่วงหลังๆ มานี้สร้างภาวะใหม่ให้กับโลกกันอย่างช้าๆ โดยที่หลายๆ คนไม่รู้ตัว คือการถดถอยของกระแสโลกาภิวัตน์ เนื่องจากราคาน้ำมันที่กำลังแพงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อุตสาหกรรมหลายๆ อย่างที่มีสัดส่วนค่าขนส่งต่อราคาค่อนข้างสูงไม่สามารถแบกรับต้นทุนได้อีกต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือการไหลกลับของอุตสาหกรรมนั้นๆ ไปยังประเทศที่เจริญแล้วอย่างยุโรป หรือสหรัฐฯ

อุตสาหกรรมที่โดนผลกระทบแน่ๆ คืออุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ที่บ้านเรามีมูลค่าสูงพอสมควรเสียด้วย ผมไม่แน่ใจว่าเราเตรียมการอย่างไรกับการเปลี่ยนแปลงแบบใหม่นี้ เพราะคำถามมันเปลี่ยนไป จากเมื่อก่อนเราถามกันว่าทำอย่างไรเขาจึงไม่ไปซื้อของจากเวียดนาม, จีน หรือประเทศใน SE Asia แต่คำถามใหม่กลายเป็นว่าทำอย่างไรเขาจึงจะมาซื้อ เพราะปรกติแล้วเขาจะทำใช้เอง

สำหรับโลกไอทีเองนั้น คงไม่กระทบเท่าใหร่นัก เนื่องจากค่าขนส่ง “บิต” นั้นต่ำมากจนแทบไม่ได้รับผลกระทบจากค่าน้ำมัน

น่าสนใจมากว่าถ้าสถานะการณ์ยังเดินหน้าไปทางนี้ต่อไป โลกของเราจะเป็นอย่างไรกัน เราจะเห็นอุตสาหกรรมสิ่งทอ, ประมง, ฯลฯ ไหลกลับไปยังประเทศโลกที่หนึ่ง ถึงตอนนี้คนของเราจะทำอย่างไร?

ยังคิดไม่ออก จดเก็บไว้ก่อน

 

ไม่ปรุงแต่ง

คำถามอย่างหนึ่งที่เราถามเสมอเมื่อเราพบของหรือผู้คนก็ตาม คือสิ่งที่เราเห็นนั้นเป็นของแท้รึเปล่า

น่าแปลกใจว่าเมื่อเราถามคำถามนั้นแล้ว เรากลับบอกไม่ได้ว่า “ของแท้” ของเรานั้นคืออะไรกัน

ขณะที่เราห้องอัดพยายามอย่างหนักที่จะ “ปรุง” เสียงให้เพราะที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราคนฟังเองนั้นก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะพยายามให้เสียงไม่ผิดเพี๊ยนไปจากซีดี

นี่เองคงเป็นเหตุให้ไฟล์เสียงแบบ Loseless ขายแพงกว่าปรกติสองสามเท่า

ในรูปแบบเดียวกัน เราตั้งคำถามกับคนรอบข้างว่าเรากำลังรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาอยู่รึเปล่า

เราอยากได้รู้ว่าตัวตนจริงๆ ของเขาเป็นอย่างไรกัน

เราตั้งคำถามกับคนอื่นๆ โดยที่บางทีแล้วเมื่อถูกตั้งคำถามแบบเดียวกัน เราก็อาจจะตอบไม่ได้

คำถามใหม่คือ ตัวตน “แท้ๆ” ที่เราอยากรู้จักนั้น มันสำคัญจริงๆ น่ะหรือ….