คิดไว้สักพักว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อรถยนต์ไร้แบบไร้คนขับจริงๆ (วิ่งโดยไม่มีคนในรถได้เลย) ถูกกฎหมาย
- ช่วงแรกแรกมันจะเป็น Uber เอาไว้เรียกเท่ๆ ราคาน่าจะแพงมาก แต่ข้อดี (จัดๆ) คือไร้ปัญหา ขับมาตรฐานเดียวไม่ต้องอ่านรีวิว ไม่มีทางส่งรถแน่นอน ไม่มีซิ่ง ไม่มีขับกระตุก ไม่มีง่วง
- รถขายขาดคงมีบ้าง ราคาแพงมาก แต่เป็นหนทางที่คนรวยจะมีคนขับรถกันได้กว้างขวางขึ้น จากเดิมที่ต้องรวยมากกลายเป็นรวยปานกลาง
- แต่บริษัทแท็กซี่จะสามารถ utilize รถได้ในระดับเทพ ขับ 24 ชั่วโมง ไม่มีบ่นเมื่อปลายทางไกล ไม่มีอาการงอแงเพราะไปคนละทางกับทางกลับบ้าน อัตราอุบัติเหตุต่ำ การบำรุงรักษาทำได้ง่ายเพราะคนขับมีวินัยสูง อัตราการนั่งโดยสารต่ออายุงานรถจะสูงขึ้นเรื่อยๆ รถคันหนึ่งอายุ 7 ปีอาจจะมีเวลารวมที่มีคนนั่ง 3-5 ปี คนอาจจะอยากเดินทางช่วงเวลาแปลกๆ กันมากขึ้นเพราะค่ารถถูก เรียกรถไปไกลๆ เช่น กทม. หัวหิน ก็อาจจะเรียกได้หลังห้าทุ่ม เพราะเป็นเวลาไม่มีใครเรียก รถเหลือ ตีรถเปล่ากลับมาก็ยังคุ้ม ถึงกทม. เช้าพอดีรับคนช่วงเวลาเร่งด่วนต่อ
- ในระยะยาว ความเป็นเจ้าของรถจะแทบไม่จำเป็น บริษัทรถสามารถเพิ่มรถได้เรื่อยๆ ไม่ติดปัญหาคนขับไม่พอ ค่าโดยสารจะเริ่มคาดเดาได้ว่าแพงช่วงเวลาเร่งด่วน และถูกลงเมื่อนอกช่วงเวลา
- ถนนจะถูก utilize หนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรถรู้ว่าคันหน้าเป็นรถอัตโนมัติเหมือนกันจะสามารถสื่อสารกันเองได้ และแจ้งเตือนอุปสรรคด้านหนัา ขับชิดกันเหมือนรถไฟ (อันนี้เป็นไอเดียที่ทีมรถอัตโนมัติที่อยู่ในกูเกิลระบุไว้ตั้งแต่ยังไม่ได้ทำงานกูเกิลกัน)
- ระยะยาวหลังจากนั้นเราอาจจะต้องถามว่าขนส่งมวลชนคืออะไร เราจำเป็นต้องมีรถไฟไหม ถ้ารถยนต์และรถบัสไร้คนขับบนถนนมีความปลอดภัยสูง ใช้แรงงานเพียงเล็กน้อยในการเดินทาง และสามารถปรับรูปแบบการเดินทางได้ตามความต้องการเสมอ เมืองหนึ่งมีเทศกาลก็มีรถบัสวิ่งมารับส่งได้ภายในวันเดียว
- (อันนี้ไกลโพ้น) ระบบขนส่งมวลชนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว นั่งกดแอปเรียกรถไปต่างจังหวัดแบบถูกสุดมีรถแท็กซี่มารับถึงหน้าบ้าน ไปทิ้งไว้ที่จุดต่อรถ มีรถบัสมารับต่อที่ปลายทางมีแท็กซี่รอรับ ทั้งหมดถูก assign แบบ dynamic ไม่มีตารางชัดเจน มีคนไปทางเดียวกันมากพอระบบก็ส่งรถบัสมา
คนขับรถจะเริ่มตกงานตั้งแต่ข้อสามเป็นต้นไป

ซื้อให้ตัวเองหลังทำงานเสร็จชิ้นนึง (สักที)
- หูฟังจีนน่าสนใจมีหลายตัวในช่วงหลังๆ หลายตัวราคาโคตรแพง เจ็ดแปดพันก็หาไม่ยากนัก แต่คิดไว้ว่าจะหาถูกๆ มาฟังเล่นดู ประเภทเกี่ยวอะไรขาดก็ไม่เสียดาย
- เจอตัวนี้จาก AudioBudget น่าสนใจเพราะเป็นตัวถูกที่สุดในบรรดาที่เว็บให้ 5 ดาว ตัวก่อนหน้านี้ของผมใช้ Xiaomi Piston 4 ยังได้ 4.5 ดาว
- HM7 ราคาแค่ 6.5-7 ดอลลาร์ ราคาประมาณหน้ากล่อง 49 หยวน (ตัว 5 ดาวอื่นๆ อย่างต่ำๆ ก็ 16 ดอลลาร์)
- วัสดุดูแย่กว่า Xiaomi มาก (อันนั้นเหล็กมีลายสาก ดูมีราคากว่ามาก) อันนี้พลาสติกธรรมดาๆ เลย ดูเหมือนหูฟังจีนทั่วไป แถมเปิดกล่องมาสายตรงไมโครไฟหักงอไปอีก ไม่ประทับใจกับ package
- แต่พอฟังเสียงก็ไม่มีอะไรโต้แย้ง เสียงดีกว่า Xiaomi ที่ใช้อยู่พอสมควร รายละเอียดครบกว่า เบสบวมๆ แปลกๆ นิดนึง
- เคยกดหูฟังจีนมาลองเล่นๆ ก่อนหน้านี้พบว่ามันแย่มาก ตัวนี้เลยยืนยันว่าโอเค หาดีๆ มันก็มีดีทีเดียวในราคาจีนๆ อยู่จริงๆ
- ราคานี้และเสียงแบบนี้ก็ใส่เดินไปเดินมาได้จริงๆ เกี่ยวอะไรขาดไม่ต้องฟูมฟายมาก
- ไว้รอบหน้าจะลองหา 5 ดาวตัวอื่นมาเล่นดู

เห็นใน iflix กดมาดูเป็นเรื่องล่าสุด
- เป็นเรื่องที่ไม่ได้มีเนื้อเรื่องหลักเป็นประเด็นทางสังคมหรืออะไร มาแนวนิยายรักเป็นหลักเลย การหวนคืนของรักแรกอะไรแบบนั้น อันนี้จริงๆ เกือบทำให้ข้ามไป แต่เอาว่ะ เรื่องมันใหม่ (ปลายปี 2015) ลองดูหน่อย
- พล็อตเรื่องหลักคือการกลับมาเจอกันของรักแรกสมัยเด็ก ผู้หญิงสวย ผู้ชายไม่หล่อ พอโตมาแล้วกลับข้าง กลายเป็นว่านางเอกไม่กล้าเจอ
- พล็อตหลักประมาณนี้มันก็ต้องตามสเต็ปไปว่านางเอกต้องกลับมาสวยสักจุดในเรื่อง แต่ก่อนหน้านั้นพระเอกต้องยังรักอยู่ จะกลับมาสวยตอนกลางหรือตอนท้ายก็ได้ เรื่องนี้เลือกให้นางเอกกลับมาสวยตั้งแต่กลางเรื่อง โอเค template มาตรฐาน
- แต่พล็อตหลักมีปัญหาหน่อย ช่วงเวลากลับมาสวยมันง่ายมาก เข้าใจว่าคงอยากทำให้คนดูตื่นเต้นว่าสวยแล้วเว้ยอะไรอย่างนั้น แต่เป็นปัญหากับเหตุและผลในเรื่องเอง สรุปพี่โตมาความเปลี่ยนแปลงคือหน้าเป็นกระ ที่เหลือก็เหมือนเดิม ผมหยิกก็เป็นแต่เด็ก ความไม่สวยที่เป็นที่มาของชื่อเรื่องคือการขี้เกียจทำผมกับแต่งหน้า? จริงๆ มันก็พอได้ ถ้าทิ้งเวลาบรรยายเพิ่มสักหน่อยว่าที่บ้านมีปัญหาเลยไม่รักสวยรักงามเหมือนตอนเด็กแล้วเพราะอะไร แต่เนื้อเรื่องก็ข้ามไปเฉยๆ
- บทในเรื่องมีช่วงที่น่าสนใจหลายจุด การเปรียบเปรยเยอะ
- ภาพวาดของเรอนัวร์ (ใช้ภาพ Dance in the Country) เป็นเนื้อเรื่องหลักว่าคนที่แอบมอง มาเป็นหนังไทยนี่เตรียมใช้เพลงคนข้างล่างประกอบได้เลย แต่จริงๆ การใช้ภาพนี้ตั้งแต่เด็กมันก็แปลกๆ หน่อยเพราะบทตอนเด็กมันไม่เห็นแอบมองกันอะไร คิดเล่นๆ ว่ามันอาจเล่นกับบทได้ว่าตอนเด็ก ผู้ชายเป็นฝั่งแอบมองอะไรแบบนั้นได้
- หัวหอม อันนี้เป็น token เอาไว้มอง แทนกัน เข้าท่ากว่าเสื้อจากสปอนเซอร์หรืออะไรเยอะ
- รองเท้าของเพื่อนนางเอก แม้จะเจ็บแต่ชอบแล้วก็ไม่ยอมปล่อย
- การทายหัวก้อยที่จริงๆ แล้วไม่สนใจว่ามันจะออกหัวหรือออกก้อย (อันนี้ชอบ)
- มีบทสั้นๆ อีกหน่อย เช่นจะไปซื้อรองเท้าให้ จะกลับไปที่ของตัวเอง
- รวมๆ แล้วชอบการเขียนบทแบบนี้ เหมือนอ่านหนังสืออยู่
- เป็นซีรีย์เกาหลีเรื่องแรกที่ดูแล้วจบแบบ happily ever after ปิดทางคิดต่อ เขาทั้งสองรักกันยาวจนลูกโต แบบเออ ก็น่าจะดีกับแฟนๆ ที่ช่วยลุ้นแต่ละตอน แต่ส่วนตัวชอบการจบแบบผ่านฉากหนึ่งของชีวิตไปมากกว่า
- ที่แย่คือตอนสุดท้ายนี่เกือบทั้งหมดเป็นฉาก happily ever after เกือบหมด เพราะปมเฉลยไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรให้เล่น อาจจะเพราะตัดต่อไม่ดีเลยเหลือเวลาตอนสุดท้ายเพียบแบบนี้
- ประเด็นสังคมที่แสดงมาในเรื่องหน่อยคือการมองคนว่าไม่เป็นคนด้วยการเรียกตำแหน่งห้วนๆ (เด็กฝึกงาน) ไม่มีชื่อ ไม่นับญาติ ไม่นับรุ่น อันนี้คนไทยไม่เห็นกันเพราะคิดอะไรไม่ออกก็พี่น้องมาก่อนแล้ว
- โฆษณากล้องนี่โอเค งานนิตยสารมันก็ต้องมีกล้องล่ะ แต่ปี 2015 นี่จ็อปส์ตายไปหลายปีแล้ว ทำไมยังคิดว่าการเอานิ้วรูดจอเลื่อนภาพยังเจ๋งพอเอามาโฆษณาอยู่?
- ร้านกาแฟนี่ดีมาก ใส่ไปกับเนื้อเรื่อง ไม่หลอก อันนี้ส่วนตัวเดินไปซื้อกาแฟร้านเดิมๆ บ่อยๆ ก็คิดว่ามันก็ประมาณนี้ ไม่เห็นแปลกอะไร
- มือถือซัมซุงในเรื่องนี้โอเค เสียงเรียกเข้า + background มาตรฐานก็พอจะทำให้เด่นมากแล้ว ไม่หลอกมาก
- Samsung Pay + Gear นี่แย่ โผล่มาแบบโดดๆ ไม่เข้าอะไรกับเนื้อเรื่อง Gear นี่จริงๆ เล่นกับความเบลอๆ ของพระเอกสักหน่อย แล้วผูกเรื่องว่านางเอกซื้อให้บลาๆ แบบนั้นก็ยังดีกว่า ให้มันโผล่มาแบบมีที่มาหน่อย
- ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่วันก่อนขึ้นรถเมลแล้วเห็นคนหยิบ Samsung Edge สักตัวออกมาแชต
เมื่อเราบอกเลขสำหรับโอนเงิน เป็น
- เลขบัญชี
- ฝ่ายตรงข้ามรู้เลขบัญชี
- เลขนี้เป็นของเราตลอดไป
- เมื่อเลิกใช้คนอื่นมาสวมไม่ได้
- เลขบัตรประชาชน
- เบอร์โทรศัพท์
- ฝ่ายตรงข้ามโทรหาเราได้ ส่ง SMS หาเราได้ (ขายประกันได้, ขายบัตรเครดิตก็ได้)
- แอด WhatsApp, Telegram ก็ได้
- เลขนี้เป็นของเรา จนกว่ามันจะไม่เป็นของเรา (1, 2, 3)
- เมื่อเราเลิกใช้ สักวันมันจะกลายเป็นของคนอื่น