Monoculture

วันก่อนไปเรียน Knowledge Management กับ อ.ยืนมาในฐานะ Guest Speaker อาจารย์พูดถึงหลายเรื่องมากๆ แต่ประเด็นหนึ่งที่ติดใจคือเรื่องของ Monoculture[^1] ที่ อ.ระบุว่าโลกกำลังพบกับกระแสของวัฒนธรรมที่เชี่ยวกราก และหลอมรวมเอาวัฒนธรรมทั้งโลกเข้าเป็นวัฒนธรรมเดียวกัน

ผมว่าจะเขียนเรื่องนี้ตั้งหลายวันแล้วแต่มาเจอกับ[ประเด็นภูฏานใน Blognone][bn] เสียก่อน เลยคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจพอที่จะเขียนเป็นเรื่องเดียวกัน

ความขัดแย้งอย่างหนึ่งคือสังคมมนุษย์แทบทั้งโลกนั้นต้องการความเจริญ เราคงไม่เจอสังคมไหนที่ไม่อยากให้ตัวเลขที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่เช่น อายุขัยเฉลี่ย, ความทั่วถึงของสาธารนูปโภค, รายได้ต่อหัว ฯลฯ ดีขึ้นตามกาลเวลา แต่เมื่อก่อนเวลาเราสร้างเขื่อน หรือต่อสายไฟนั้น ยังไม่เคยมียุคไหนที่เราต้องเสี่ยงกับภาวะสูญเสีย “ความเป็นไทย” มากเท่าในยุคนี้

เพราะความเจริญในยุคนี้คือการสื่อสาร

มันไม่แปลกอะไรที่เราอยากรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมของเราให้คงอยู่นานเท่านาน แต่เมื่อชนรุ่นหลังของเราเติบโตขึ้นมาด้วยวัฒนธรรมที่กำลังได้รับความนิยมในอีกซีกโลก ไม่ว่าจะเป็น Cosplay, iPod, หรือ Netbook เราอาจจะพบว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมบางอย่างของเรากำลังอยู่ในภาวะอันตราย

สิ่งที่เราต้องการคือความเจริญโดยไม่ต้องถูกบุกรุกทางวัฒนธรรม (อย่างน้อยๆ ก็ในความรู้สึกของเรา) คำถามใหม่คือ มันเป็นไปได้หรือ มันเป็นไปได้หรือที่เราจะรับเอางานวิจัยใน IEEE Xplore โดยไม่ได้รับวัฒนธรรมแฮมเบอร์เกอร์, หรือเราจะไปเรียนรู้อาซิโมโดยไม่เอาการ์ตูนญี่ปุ่น

ผมมองว่าภูฏานเองกำลังตั้งคำถามเช่นนี้ และพยายามบอกว่ามัน “ทำได้”

ขณะที่เรากำลังมองภูฏานด้วยความทึ่งในความ “บริสุทธิ์” ของวัฒนธรรม ผมกลับมองว่าด้วยช่องทางการเข้าถึงของวัฒนธรรมภายนอกที่ยังไม่มากนัก เช่นการใช้งานอินเทอร์เน็ตเพียงระดับไม่กี่หมื่นคน ปริมาณการเรียนต่อต่างประเทศที่ไม่สูงมากนัก ความบริสุทธิ์ทางวัฒนธรรมของภูฏานนั่นก็เป็นแค่ภาวะที่วัฒนธรรมภายนอก “ยัง” บุกไปไม่ถึงเท่านั้นเอง

แต่ด้วยภาวะที่ประเทศต้องนำเข้ากระดาษทิชชู่ และส่งนักเรียนทุนมาเรียนเมืองไทย ภูฏานไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปิดรับเอาความเจริญจากภายนอกเข้าประเทศให้มากที่สุด ด้วยภาวะเช่นนี้สร้างภาพให้เราเห็นว่าความเจริญที่เกิดขึ้นไม่ได้ไปกระทบกับวัฒนธรรมของเขาในระดับเดียวกับบ้านเรา

ผมตั้งคำถามว่าภาวะเช่นนี้ของภูฏานเป็นภาวะที่ยั่งยืนแน่หรือ ภาพคนอยู่ในไร่นาอย่างสงบและเรียบง่าย จะยังคงอยู่โดยที่ตัวเลขความเจริญทางเศรษฐกิจจะเติบโตขึ้นไปดังที่หวัง

ถ้าทำได้คงเป็นปรากฏการณ์ที่น่าทึ่ง และฉีกตำราที่พูดถึง Globalization ไปหลายเล่ม

อีกสัก 25-50 ปีคงรู้กัน

[^1]: [Monoculture][wp] จริงๆ แล้วใช้กันในประเด็นของกสิกรรม เป็นการพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่าระบบนิเวศจะอ่อนแอลงมากเพราะการเกษตรสมัยใหม่ที่ขาดความหลากหลาย ระบบรักษาความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์ก็ใช้คำเดียวกับบอกถึงความอันตรายเมื่อมีการใช้ระบบที่เหมือนๆ กันจำนวนมากๆ ในบริษัท อย่างม.เกษตรก็เคยโดน Blaster ที่วิ่งไปมาบนเครื่องวินโดวส์ใน ม. แล้วเอาออกให้หมดไปยากมาก

[wp]: http://en.wikipedia.org/wiki/Monoculture
[bn]: http://www.blognone.com/node/8225#comment-57196

 

random life

ถ้าใครเรียนคอมพิวเตอร์มา เรื่องหนึ่งที่ทำให้เราประหลาดใจได้มากคือการ “สุ่ม” การสุ่มถูกนำมาใช้งานในระบบคอมพิวเตอร์ที่หลากหลายมาก นับแต่ระบบรักษาความปลอดภัยไปจนการใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อย่างปัญหา OpenSSL ที่เพิ่งเกิดขึ้นใน Debian และ Ubuntu ก่อนหน้านี้ก็มีเหตุหลักมาจากเรื่องของการสุ่ม ให้ประหลาดยิ่งกว่านั้นคืออัลกอลิธึมบางอย่างนั้นทำงานเร็วขึ้นเมื่อมีการเรียงข้อมูลแบบสุ่มก่อนที่จะทำงาน

ช่วงนี้เลยเริ่มเอาการสุ่มมาใช้กับชีวิตของตัวเองนอกจอมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาหลักที่ถูกนำมาใช้แก้ปัญหาคือการกินข้าว

ไปกันสิบคน เมนูหนึ่งเล่ม กินอะไรดี?

หลังจากนั่งมองไปสิบนาทีแล้วตกลงกันไม่ได้ รุ่นน้องคนหนึ่งก็ยื่นเมนูมาให้ผม ผมกลับหัวมันลง แล้วจัดการจิ้มมั่ว ได้กับข้าวมาหนึ่งจาน

หลังจากนั้นก็เป็นมื้อแห่งความสนุก ทุกคนกลับหัวเมนูเพื่อไม่ให้อ่านออก แล้วก็จิ้มไปเรื่อยๆ จนได้กับข้าวครบ ทั้งหมดกินเวลาไม่ถึงห้านาที เร็วดีจริงแท้

อ่อ เคยใช้วิธีแบบนี้ไปทีนึงแล้วตอน[เปิดเบอร์][lc]

[lc]: http://lewcpe.com/blog/archives/559/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C/

 

Upgraded

โพสจาก wordpress รุ่น 2.5.1 ซักทีหลังจากขี้เกียจ Upgrade มานานมาก จริงๆ แล้วอยากจะอ้างว่าไม่ว่าง แต่จริงๆ ก็แค่ข้ออ้างเท่านั้นล่ะ

WordPress 2.5.1 นี่เป็นการปรับปรุงที่น่าประทับใจมาก อาจจะเป็นเพราะไม่ได้อัพเกรดมานานมาแล้วด้วย

เนื่องจากติดว่าไม่ว่างอัพเกรด เลยพลอยไม่อยากโพสเรื่องใหม่ๆ ไปด้วย เพราะกลัวว่าโพสแล้วจะติดปัญหา งานนี้ต่อไปคงได้เวลาโพสกันเป็นประจำเหมือนเคยแล้ว

 

ไม่ปรุงแต่ง

คำถามอย่างหนึ่งที่เราถามเสมอเมื่อเราพบของหรือผู้คนก็ตาม คือสิ่งที่เราเห็นนั้นเป็นของแท้รึเปล่า

น่าแปลกใจว่าเมื่อเราถามคำถามนั้นแล้ว เรากลับบอกไม่ได้ว่า “ของแท้” ของเรานั้นคืออะไรกัน

ขณะที่เราห้องอัดพยายามอย่างหนักที่จะ “ปรุง” เสียงให้เพราะที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราคนฟังเองนั้นก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะพยายามให้เสียงไม่ผิดเพี๊ยนไปจากซีดี

นี่เองคงเป็นเหตุให้ไฟล์เสียงแบบ Loseless ขายแพงกว่าปรกติสองสามเท่า

ในรูปแบบเดียวกัน เราตั้งคำถามกับคนรอบข้างว่าเรากำลังรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาอยู่รึเปล่า

เราอยากได้รู้ว่าตัวตนจริงๆ ของเขาเป็นอย่างไรกัน

เราตั้งคำถามกับคนอื่นๆ โดยที่บางทีแล้วเมื่อถูกตั้งคำถามแบบเดียวกัน เราก็อาจจะตอบไม่ได้

คำถามใหม่คือ ตัวตน “แท้ๆ” ที่เราอยากรู้จักนั้น มันสำคัญจริงๆ น่ะหรือ….