Lighting

Cloud

แสงวันนี้มันสวยดี ปลายเมฆเป็นสีรุ้ง

ตอนแรกว่าจะไม่เขียนถึงแต่เห็น[บล็อกของแชมป์](http://champ.exteen.com/20090613/my-saturday)เลยเอามั่ง

 

What happen to Thai books?

นานมาแล้ว ผมจำได้ว่าพ่อผมพาผมเข้าร้าน SE-ED ที่ฟอร์จูน (IT Mall ปัจจุบัน) บ้านผมมีกติกาฝังหัวคือหนังสือนั้นเป็นสิ่งจำเป็นอันดับสองรองจากของกิน ดังนั้นอย่าแปลกใจที่ผมอ้วน… :P

ผมจำได้ว่าร้านหนังสือร้านนั้น “ใหญ่โคตร” สำหรับผมในตอนนั้น หนังสือละลานตาแบบอ่านทั้งชีวิตไม่หมด และสิ่งที่ดีที่สุดคือคำพูดของพ่อผมที่ว่า

“อยากได้เล่มไหนก็หยิบมา….”

ผมอ่านเยอะขึ้น และซื้อหนังสือด้วยทุนพ่อเรื่อยมา จนวันหนึ่งแล้วแล้ว เมื่อผมอ่านมากขึ้น และผมหยิบหนังสือมากขึ้น

หนังสือที่ผมซื้อก็เกินพันบาท…

ผมจำไม่ได้ว่าผมซื้อไปกี่เล่ม แต่จำได้ว่ามัน “โคตรเยอะ” ผมตั้งคำถามว่าผมจะอ่านหนังสือกองนั้นอีกกี่เดือนกันถึงจะหมด

กาลเวลาเปลี่ยนไป ความเจริญเพิ่มเข้ามา งานหนังสือย้ายจากสวนอัมพรมายังศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ การมาและจากไปของร้านดวงกมลที่ห้างซีคอน

หนังสือเป็นสิ่งจำเป็น กลายเป็นสัญชาติญานที่ถูกฝังในตัวผมไปเรียบร้อยแล้ว แม้แต่ตอนเรียนวิศวกรรมคอมพิวเตอร์เอง ผมก็ยินดีจะประหยัดกับค่าคอมพิวเตอร์มากกว่าที่จะประหยัดค่าหนังสือ

ผมจ่ายเงินมากขึ้นให้กับหนังสืออย่างต่อเนื่อง….. แต่หนังสือที่ได้มาแต่ละครั้งกองเล็กลง เล็กลง และเล็กลง…

หนังสือบ้านเราสวยขึ้นเรื่อยๆ หน้าปกมีการออกแบบที่ดีขึ้นเรื่อยๆ การเข้าเล่มใช้วิธีการที่คงทนกว่าเดิม กระดาษนั้นเป็นมิตรกับสายตาขึ้น

แต่ขณะที่ผมทำงานหาเงินเองได้นี้เอง ผมรู้สึกว่าตัวเองจนเกินไปที่จะซื้อหนังสือแบบเดียวกับที่เคยซื้อได้ก่อนหน้านั้น การซื้อหนังสือในงบประมาณที่ไม่ได้น้อยเลยนั้นกลับได้หนังสือที่อ่านเพียงไม่นานนักก็จะหมดลง

ผมรู้ตัวอีกทีตอนที่ผมเข้าร้านคิโนะคุนิยะเมื่อปีที่แล้ว…

หนังสือภาษาอังกฤษที่เคยเป็นของ “เกินเอื้อม” สำหรับผม กับร้านที่ผมเคยคิดว่า “หรูเกินไป” สำหรับคนอย่างผมนั้นกลายเป็นสิง่ที่ผมดูจะจ่ายได้ไม่ต่างจากหนังสือภาษาไทยนัก

แน่นอนคุณภาพมันแย่กว่ามาก กระดาษปรู๊ฟบางๆ กับหมึกเละหน่อยๆ ไม่ทำให้ใครรู้สึกหรูหราเมื่อเปิดหนังสือเหล่านั้นแน่นอน

แต่ใครสนใจกันล่ะ?

ผมหันมามองหนังสือในชั้น หนังสือแปลจำนวนมากนั้นหนามาก หลายเล่มต้องแบ่งสองเล่มเนื่องจากกระดาษคุณภาพสูงเหล่านั้น

ราคาหนังสือต่อเล่มที่คนไทยกำลังจ่ายนั้นมันเริ่มไม่ต่างจากที่คนตะวันตกจ่ายให้หนังสือของพวกเขาแต่ละเล่มเข้าทุกวัน

เรากำลังไปทางไหนกัน? เรากำลังกลับไปยุคก่อนกูเตนเบิร์กที่หนังสือเป็นของล้ำค่าไว้บูชาในบ้านหรืออย่างไร

เกิดอะไรขึ้นกับอุตสาหกรรมหนังสือไทย?

 

Consideration

สมัยผมเป็นเด็กนั้น ด้วยความที่โดนฝังหัวให้อ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลัง ไม่แปลกเลยที่ผมจะแบกหนังสือสัก 5 กิโลอยู่บนหลัง

ผมโตขึ้น และอ่านมากขึ้น อินเทอร์เน็ต และภาษาอังกฤษเปิดโลกกว้างให้ผมอย่างไม่น่าเชื่อ

ผมเคยอ่านหนังสือบางเล่มที่ผมไม่คิดว่ามันจะดีในแบบสุ่มๆ เพราะคิดว่าถ้ามันมีสักเล่มที่มันดีล่ะ เราจะปล่อยมันไปโดยไม่ให้โอกาสมันเลยอย่างนั้นหรือ

มาวันนี้ดูเหมือนทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป ผมพบว่าหนังสือที่ผมอยากอ่านมีมากเกินกว่าที่ผมจะอ่านได้ ความรู้ทั้งโลกมันมากเกินไป

ผมต้องยอมที่จะอ่านหนังสือในบางแขนงเพียงแค่ “หนังสือแนะนำ” ผมเริ่มต้องอ่านหนังสือบางเล่มเป็นบางบท ผมเริ่มบอกลาหนังสือที่ไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้เมื่อผมอ่านไปจำนวนหนึ่ง ผมไม่อ่านหนังสือ “ขายดี” หลายเล่มหากแน่ใจว่ามันไม่เข้ากับแนวทางของผม

ผมแก่แล้วสินะ