สงครามโทรศัพท์มือถือจะสนุกกว่านี้ ค่าโทรจะถูกกว่า และสหภาพแรงงาน CAT/TOT จะหายไปจากสารระบบของไทยด้วยเงื่อนไขเดียว คือคลื่นความถี่มีไม่จำกัด
สงครามทั้งหมดทั้งมวลมันเริ่มจากเงื่อนไขง่ายๆ และเป็นความจริงของโลกคือ “คลื่นความถี่มีจำกัด” เช่นเดียวกับน้ำมัน ป่าไม้ ที่ดิน และทรัพยากรอื่นๆ
และปริมาณข้อมูลที่ส่งไปในอากาศ (ที่จริงไม่ต้องมี “อากาศ” ก็ได้..) มีจำกัด ขึ้นกับปริมาณ “คลื่นความถี่” คำถามสำคัญเลยตกอยู่ที่ว่า ใครจะได้ความถี่ไป
Wi-Fi เป็นตัวอย่างของคลื่นความถี่แคบๆ ที่เปิดขึ้นมาให้ใครก็ได้เข้าใช้อย่างเสรีภายใต้เงื่อนไขเดียวกันคือความแรงที่จำกัด ทำให้รัศมีทำการของ Wi-Fi นั้นอยู่ที่ประมาณ 40 เมตรเท่านั้น โดยผู้ออกแบบเชื่อกันว่าภายในรัศมีเช่นนี้น่าจะมีผู้ใช้ไม่มากไม่มายนัก เพราะเมื่อก่อนการ์ดใบละสามหมื่น และคงไม่มีการติดตั้ง Wi-Fi อย่างหนาแน่นอีกเช่นกัน เพราะ Access Point ตัวละแสน
ผ่านไปสิบปีไม่มีอะไรจริง…
ภายในรัศมีแคบๆ เรามี Access Point หลายโหลทำงานพร้อมๆ กัน และมีคนใช้เยอะกว่าจำนวน access point อีกหลายเท่าทำงานพร้อมๆ กันเช่นกัน
ความเร็วของ 801.11g นั้นอยู่ที่ 54mbps ถ้าคิดง่ายๆ สิบคนก็จะใช้ได้คนละ 5mbps (ซึ่งของจริงจะอยู่ที่ประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น) ก็น่าจะใช้งานได้ดี แถม Wi-Fi มีตั้ง 11 ช่อง…
เดี๋ยว 11 ช่อง…?
11 ช่องของ Wi-Fi เป็นเรื่องแปลกประหลาดทางวิศวกรรมที่ผมเองก็ไม่เคยเข้าใจว่ามันคิดขึ้นมาทำไมกัน เพราะในโลกความเป็นจริง ช่วงความถี่ที่ Wi-Fi รองรับได้พร้อมๆ กันจริงๆ จะมีเพียง 3 ช่องเท่านั้น คือ 1/6/11 ช่วงช่องอื่นๆ ใช้ไปมันก็จะกวนกันเอง….
ปัญหาใหม่บังเกิด เมื่อรศมี 40 เมตรที่เคยว่ากันว่าแคบๆ กลายเป็นตรงกลางห้างกลางกรุงสักห้าง ในรัศมี 40 เมตรอาจจะร้านกาแฟไปสามร้าน คนนั่งอยู่ รวมๆ เกือบสองร้อย ไม่ต้องพูดถึงห้องเรียน ที่ผมเคยเจอปัญหารัศมี 40 เมตรนั้นมีคนนั่งอยู่ 400 คน (เพราะเป็นห้องเรียนทั้งหมด) ผลคือไม่มีใครได้ใช้อะไร เพราะคลื่นชนกันไปมาเต็มไปหมเ
ทางออกมีสองทาง
- ทำสงครามโลกครั้งที่สาม ยึดโลกได้ให้ แล้วประกาศคลื่นความถี่เสรี 2.4GHz เพิ่มขึ้น
- หนีไปใช้ 802.11a ที่คลื่น 5GHz
เนื่องจากทางออกที่สองราคาถูกกว่ามากที่งาน PyCon2010 จึงเลือกทางนี้
ว่าแต่มันมี router ขายที่ไหนบ้าง?
The solution is CDMA + MIMO!
นั่นคือเหตุผลที่ Airport ของเครื่อง Mac ถึงพยายามผลักดัน 802.11n ที่ 5GHz ครับ -*-
@bow_der_kleine
MIMO นี่ผมยังพอทำความเข้าใจหลักการได้นะ ใช้ diff สัญญาณเพื่อให้ทนต่อ noise
ได้ดี เข้าใกล้ขีดจำกัด Shannon ได้มากขึ้น
แต่ CDMA นี่ต้องยอมรับว่าผมยังไม่เคย “เก็ต” กับมันเลย
CDMA : แทนที่จะแยกสัญญาณเป็นช่องความถี่ ก็แยกช่องสัญญาณเป็น Code แทนครับ แต่ Code แต่ละช่องสัญญาณต้อง Orthogonal กัน ซึ่งจะทำให้เราเข้าใกล้ 1 Symbol/Hz มากขึ้น ส่วน 1 Symbol จะมีกี่ Bit ก็ขึ้นอยู่กับ Modulation Format
ส่วน MIMO เป็นการเพิ่ม Capacity ครับ โดยคร่าว ๆ คือ เสารับส่งหนึ่งคู่ส่งข้อมูลได้มากสุด 1 Symbol/Hz
อ้ออีกตัวที่น่าสนใจคือ OFDM ครับ อันนี้ช่องสัญญาณความถี่แต่ละช่องจะ Orthogonal กัน