รำคาญเมืองไทย ขอสักทีแล้วกัน
เมื่อใหร่เราจะเรียนรู้กันสักทีว่านักการเมืองไทยไม่มีเทวดา นักการเมืองผ่านการเลือกตั้ง ไม่ได้ผ่านจากพิจารณาจากสวรรค์ ทุกครั้งที่เราเปลี่ยนแปลง ปฏิรูป ฯลฯ เราตั้งความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะมีคนดีเข้ามาบริหารประเทศ คนดีที่ทุกคนในชาติเห็นตรงกันว่าเป็นคนดี!!!!!
ไม่กี่คนหรอก เกิน 60 ล้านไปไม่เท่าใหร่
ผมไม่แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ คือมันจะไม่ได้ประโยชน์เลยถ้าเรายังเพ้อเจ้อกับความคิดประเภทที่ว่า “รวยแล้วไม่โกง”, “ดังแล้วไม่โกง” หรือ “เคยบริจาคเงินเยอะแล้วไม่โกง” ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ที่เรามองคนนั้นคนนี้ว่าเป็นคนดี สิ่งที่เราพบเจอตลอดเวลา คือความสงสัยว่าทำไมคนที่เราเคยคิดว่าดีนั้นจึงเลวลงเรื่อยๆ
แต่เราก็ไม่เคยเรียนรู้ หรือบางทีเรื่องนี้อาจจะแก้ไขไม่ได้ก็เป็นได้ เราอาจจะต้องรอเทวดามาจุติเป็นนักการเมือง
จุดบกพร่องของการเมืองไทย อาจจะอยู่ที่ประชาชนเองนั่นแหละ….
จะให้ถูกใจไปหมดก็คง…ไม่มี
แต่อย่างว่า รัฐประหารแล้วดีใจกันออกหน้าออกตาแบบนี้
ก็แปลกดี…ว่าไหมครับ
คนไทยลืมไปครับว่า ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เคยดีวันนี้ พรุ่งนี้อาจไม่ดีแล้วก็ได้ อีกทั้งเรายังมีตรรกะการคิดแปลก ๆ ชอบคิดกันว่า หากเป็นอย่างนั้น แล้วต้องเป็นอย่างนี้เสมอ (เช่น รวยแล้วไม่โกง) ดังนั้น การตรวจสอบในบ้านเราจึงไม่เกิดขึ้นไงครับ
ผมเคยคุยกับคนใกล้ตัวเสมอ ๆ ว่า หากอยากให้ประเทศไทยดีขึ้นในหลาย ๆ ด้าน สิ่งแรกที่เราต้องเปลี่ยนคือ วัฒนธรรม และวิธีคิดของคนไทย ไม่ใช่เปลี่ยนนักการเมือง หรือระบอบการปกครอง หากคนในชาติคิดเป็น และมีวัฒนธรรมที่ดี (วัฒธรรมในที่นี้ไม่ใช่ใส่ชุดไทยไปทำงาน หรือฟ้อนเงี้ยว แสดงมโนรา อะไรเทือกนั้นครับ แต่เป็นเรื่องการดำเนินชีวิตประจำวันต่างหาก เช่น วัฒธรรมการเข้าแถว ความตรงต่อเวลา จิตสาธารณะ ฯลฯ) ต่อให้นักการเมืองเลวแค่ไหน ก็โกงไม่ได้ ต่อให้ระบอบการปกครองมันจะแย่เพียงใด คนในประเทศก็มีความสุขได้
คนส่วนใหญ่ลืมไปครับว่า ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม สังคมหรือประเทศจะดีหรือไม่ดี ก็อยู่ที่คุณนั่นแหละ ไม่ใช่นักการเมือง หรือคณะรัฐประหาร
คิดเหมือนกันแต่ไม่ค่อยอยากเขียนถึงเท่าไร
ทักษิณเป็นพวกความดีก็เยอะ ความชั่วก็มาก แต่ถูกขยายความด้านชั่วเพราะคนไทยกำลังหา “แพะ” อยู่เท่านั้นเอง ตราบใดที่เรายังภูมิใจกับการยัดเงินให้ลูกเข้าโรงเรียนอยู่ คนมาแทนกี่คนก็ไม่ต่างกัน
ขอเสริมอีกข้อ อย่่าคิดว่า “สมถะแล้วจะไม่โกง”
เห็นด้วยทุกข้อเลย
ขอแย้งมาร์ค นิดนึง ผมหาความดีเค้าได้น้อยมากอะ ยิ่งดูนโยบายเศรษฐกิจ ยิ่งรับไม่ได้ คือต่อให้ยกเรื่องโกงกินทิ้งหมด ผมก็รับนโยบายเศรษฐกิจแบบนี้ไม่ได้อยู่ดี มันจะทำให้รัฐบาลล่มจมในระยะยาว
ลองหาอ่านตามบอร์ดที่นักเศรษฐศาสตร์เยอะๆ นักการเงิน ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายลักษณะนี้เยอะมากๆ นี่เรากำลังจะเข้าภาวะขาดดุลแฝดแบบสหรัฐแล้ว รู้ป่าว
เยอะออกนะครับ
อย่าง OTOP นี่ถึงผมว่าบางครั้งมันแหม่งๆ แต่ไอเดียหลักมันดีมากเลยนะ ให้คนท้องถิ่นพยายามหาจุดขายของตัวเอง หรือ 30 บาทถึงวิธีมันจะแปลกๆ แต่ก็ทำให้คนตระหนักถึงสิทธิ์ในการรับบริการขั้นพื้นฐานจากรัฐ จากเดิมที่ประกันสังคมมีคนรู้จักอยู่นิดเดียว
mk
OTOP นี่เห็นด้วยครับ ชอบเหมือนกัน (ยกเว้นแต่ว่า สุรา OTOP นี่เยอะเกินไปหน่อย)
แต่ เรื่อง 30 บาทนี่ขอเห็นต่างหน่อยครับ ก่อนหน้ามี 30 บาทนั้นมีอะไรมาเยอะแล้วครับ เช่นบัตรสุขภาพ จ่ายปีละ 500 รักษาได้ทั้งครอบครัว, สิทธิ์รักษาพยาบาลฟรีของ อสม. ดีไม่ดีใครไม่มีเงินก็อนุญาตให้ชักดาบได้เลย (ก็เก็บไม่ได้นี่ ก็แค่นั้น) จะเห็นว่า ดีไม่ดีให้มากกว่า 30 บาทอีก (สมมติ มีคนในบ้าน 5 คน ป่วยคนละ 4 ครั้งต่อปี ก็เกิน 500 แล้ว) แต่ตอนนั้นทำไมมันมีเงินลงมา support เยอะก็ไม่รู้ (เกิดไม่ทัน)
สิ่งที่ 30 บาททำให้ประชาชนตื่นตัวเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานมาจากการประชาสัมพันธ์ (หรือการตลาด) ล้วนๆ ครับ ไม่ใช่ระบบนี้ทำให้เกิดแบบนั้น นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้กับบุคลากรอีกเพราะว่า เล่นให้รักษาไม่อั้น แต่ดันไม่ส่งเงินลงมาให้ ใครมันจะอยู่ได้ แต่ละโรงพยาบาลต้องหาทางหาเงินกันตัวเป็นเกลียว (เช่นเปิดคลินิกนอกเวลา, หรือเล่นทางด้าน alternative medicine, หรือจากเบิกราชการ) ไม่งั้นหมดตัว
อีกอย่างคือ เล่นรัฐสวัสดิการพร้อมโปรโมทขนาดนี้ มีแต่เงินออก เงินเข้าระบบน้อยเหลือเกิน ประเทศมันจะล่มจมเอานา มันน่าจะทำแบบประกันรถยนต์น่ะ แบบ ช่วยกันออกหน่อย แล้วใครไม่ดูแลตัวเองเจ็บป่วยบ่อยๆ ด้วยสาเหตุที่ป้องกันได้ เช่น สบบุหรี่ เมาแล้วขับ กินเหล้าจนตับแข็ง อย่างงี้ต้องเก็บเบี้ยประกันเพิ่ม -_-‘
เรื่องสามสิบบาท ผมก็เจอกับตัวในฐานะ คนที่ทำงานในเลเวลลูกจ้างชั่วคราวโรงบาล
ผมว่าถึงไอ้ประกันสุขภาพแบบที่มันมีมา มันก็ใช่ว่าคนทั่วไปจะรู้
อย่าง อสม หรือ หมออนามัย บางพื้นที่ไม่เคยโผล่มาเลย อย่างแถวบ้านผมเป็นต้น
ตั้งแต่ผมไปอยู่ที่บ้านนอก ไม่เคยมี อสม หรือ หมออนามัยมาเยี่ยมบ้านเลย นับประสาอะไร
กับโครงการของสาธารณสุข จริงอยู่ข้อเสียของ สามสิบบาท มีโทษกับโรงบาลมหาศาล
แต่มันเป็นสิ่งที่ทำให้ คนมีค่าเป็นคนมากขึ้น อย่างน้อยสามล้อ คนกวาดถนน เขาก็รู้สึก
มีค่ามากขึ้นไม่ใช่ว่าไปโรงบาลแล้ว พอถึงช่องจ่ายเงิน แล้วยกมือไหว้ ขอเป็นคนไข้อนาถา
คนรวย ก็ส่วนหนึ่ง คนดี ก็ส่วนหนึ่ง คนละส่วน มามองรวมกันไม่ได้
อย่ามองแต่”ภาพภายนอก”
เรื่อง OTOP ชื่นชม
แต่เรื่อง 30 บาท บอกได้ตามตรงว่า ไม่ชอบ
ถ้าพูดว่า ช่วยคนจน แต่ความเป็นจริงน่ะ ด้วยเงิน 30 บาทกับเงินที่รัฐฯช่วยออกให้โรงพยาบาล แต่หลายครั้งมันไม่พอกับส่วนต่างของค่ารักษาจริงๆ กับค่ารักษาที่จ่ายมา
ผลคือ
-ได้ยาห่วย, ได้ยาไม่ตรงกับโรค, ได้รับการตรวจแบบขอไปที (ไม่สามารถตรวจด้วยเครื่องมือหรือการตรวจที่เฉพาะมากกว่านั้นได้ เพราะ ถ้าทำโรงพยาบาลก็แบกรับค่าใช้จ่ายไม่ไหว)
-คนได้รับการรักษา ก็มาก แต่คนตาย ก็มาก
-หมอที่รู้สึกผิด แล้วลาออก ก็เยอะ
-ระยะยาว โรงพยาบาลจะอยู่ได้หรือเปล่า โดยเฉพาะเมื่อเปลี่ยนรัฐบาล และเมื่อเงินsupportหมด แล้วหลังจากนั้นโครงการ 30 บาท จะทำอย่างไร มันจะล่มทั้งระบบหรือไม่ ผลได้-ผลเสีย อันไหนมากน้อยกว่ากัน