May be you should talk to someone

หนังสือเล่มที่ 4 ของปีนี้ที่อ่านจบ เป็นเรื่องราวของนักบำบัดจิตวิทยา เขียนพาเราเข้าไปประสบกับการบำบัดของคนไข้ 5 คน รวมถึงตัวนักบำบัดเอง (ที่ไปให้คนอื่นบำบัด)

หนังสือเล่าถึงประสบการณ์ว่าทำไมคนเราจึงต้องไปบำบัด สร้างภาพให้คนเข้าใจว่าคนเราบางครั้งก็ผ่านเรื่องราวหนักหนาเกินไปที่หาทางออกไม่ได้ และการบำบัดก็อาจจะเป็นทางหนึ่ง พร้อมกับการหาสาเหตุของพฤติกรรมที่นำไปสู่การพบปัญหานั้นซ้ำๆ

หนังสือเขียนสนุก และตลกในบางมุมอยู่เรื่อยๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันเป็นหนังสือขายดีอยู่นาน ขณะเดียวกันก็เล่าถึงปัญหาภาพใหญ่ที่คนอเมริกันนิยมการใช้ยารักษาแทนการบำบัด เพราะได้ผลเร็วกว่า

อ่านได้เรื่อยๆ เหมือนอ่านนิยาย เนื้อเรื่องสลับหว่างอาจจะทำให้งงบ้างช่วงแรกๆ แต่พออ่านจบแล้วรู้สึกผูกพันกับทั้งสี่คน ในมุมหนึ่งก็คงคิดได้ว่าหากมีเรื่องร้ายแรงในชีวิตแล้วรับไม่ไหว ก็อาจจะต้องหาคนบำบัดไปนั่งคุยด้วยเหมือนกัน

 

23 ล้าน

วันก่อนที่มีข่าวซื้อตัวสส. กัน มีตัวเลขหนึ่งที่โผล่ขึ้นมาคือราคาอยู่ที่ประมาณ 23 ล้านบาท แล้วมีการพูดคุยกันเยอะว่าทำไมน้อยกว่าที่หลายคนคิด ผมเองเคยสัมภาษณ์บริษัท Robowealth ระหว่างสัมภาษณ์มีตัวเลขหนึ่งคือ คนจะเกษียณอย่างสบายได้ควรมีเงินเก็บอย่างน้อย 20 ล้านบาท

หลังจากลองมาคำนวณดูแล้ว 20 ล้านนับเป็นตัวเลขของคำว่า “สบายไปตลอดชาติ” อย่างพอดี จากที่เคยคุยกับคนทำงานว่าในกทม. นั้น รายได้ที่น่าจะ “สบายๆ” น่าจะเกิน 50,000 บาทขึ้นไป ที่รายได้เท่านี้ คุณจะกิน, เที่ยว, และมีชีวิตความเป็นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดีมากไม่ต้องประหยัดเท่าใดนัก แม้จะไม่ได้มีเหลือพอให้กินอาหาร fine dining บ่อยๆ หรือติดแบรนด์เนมเป็นว่าเล่นก็ตาม

เงินก้อน 20 ล้านบาท หากลงทุนแบบไม่เสี่ยงนัก ผลตอบแทน 4.5-5% ก็ไม่น่ายากเกินไป ผลตอบแทนนี้ทำให้เราสามารถมีชีวิตแบบรายได้ 50,000 บาทได้ โดยที่ยังมีเงินเหลือพอไปเก็บเพิ่มเพื่อสู้กับเงินเฟ้อเสียด้วย

แปลว่าเราจะมีคุณภาพชีวิตเท่าๆ กับเงินเดือน 50,000 บาทในวันนี้ ตลอดไป ทำให้ 20 ล้านนับเป็นตัวเลขที่ชวนให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ก็แค่ครั้งเดียว ที่เหลือจะอะไรก็ช่างมัน” ได้เป็นอย่างดี

 

Her Private Life

เห็นเรื่องนี้ดังมากในทวิตเตอร์เมื่อปีที่แล้ว เพิ่งได้ดูใน Netflix และเกือบเลิกดูตั้งแต่ 1-2 ตอนแรกเพราะเห็นว่าเป็นหนังรักแบบการ์ตูนเกินไป ไม่มีประเด็นอะไรให้คิดต่อเท่าไหร่

แต่กลางๆ เรื่องพอโอเคอยู่ เล่นประเด็นกับความสัมพันธ์ของคนที่คลั่งไคล้ (obsessed) กับอะไรมากๆ และการวางความสัมพันธ์กับคู่ที่เป็นแฟนว่าจะวางตัวกันอย่างไร และมันก็อยู่กันไปได้ โดยเรื่องหลักพูดถึงชีวิตกลุ่มแฟนคลับ (นางเอก) ที่บ้าดาราชายมากๆ แต่ก็มีความสัมพันธ์ของตัวเอง ขณะเดียวกันในเรื่องก็มีคู่พ่อแม่นางเอกที่ต่างคนต่างคลั่งอะไรกันคนละอย่างอีกเช่นกัน

มีประเด็นเล็กๆ ให้เก็บบ้าง เช่น การเล่นสัญลักษณ์กาแฟ ที่นางเอกเป็น americano และพระเอกเป็นนมร้อน (กินกาแฟไม่ได้) แต่ก็หาพื้นที่ร่วมเป็นลาเต้ได้ หรือเพื่อนนางเอกที่พูดถึงความสัมพันธ์ที่สามีทำผิดแล้วใช้ลูกมาง้อว่าเป็นการกระทำที่ขี้ขลาด

ท้ายเรื่องเริ่มยืดมีอาการบทหมดไม่มีประเด็นต่อแล้ว ตอนสุดท้ายนี่มีประเด็นเดียวคือทั้งสองรักกันตลอดไป happily ever after

 

The Rise and Fall of Dinosaurs

หนังสือเล่มที่สองที่ฟังในปีนี้ หลังจากซื้อมาเมื่อปลายปีที่แล้ว เล่าถึงประวัติศาสตร์แห่งไดโนเสาร์ ไล่มาจากจุดกำเนิดที่มีสิ่งมีชีวิตยุคก่อนมัน สภาพแวดล้อมของโลก และเหตุผลที่บางพันธุ์แพร่พันธ์ไปบางพื้นที่

ให้เทียบกับหนังสือไดโนเสาร์ทั่วไปที่มักเอาแต่บอกว่าไดโนเสาร์ตัวไหนอยู่ยุคไหนแล้ว หนังสือเล่มนี้ก็นับว่าดีกว่ามาก มันเล่าถึงความเชื่อมโยง สภาพภูมิศาสตร์ จุดเปลี่ยนสำคัญที่เชื่อมโยงระหว่างกัน และการตัดแบ่งยุคต่างๆ ว่ามันมีจุดตัด (และบางจุดที่ไม่มีอะไร แค่ยุคที่แล้วมันนานไปแล้ว) อย่างไรบ้าง ไปจนถึงกระบวนการค้นแบบต่างๆ ตั้งแต่แหล่งค้นพบฟอสซิล ไปจนถึงข้อสรุปของไดโนเสาร์ที่หลายประเด็นก็เพิ่งมีข้อสรุปไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี้เท่านั้น

ผมเองไม่ใช่แฟนคลับไดโนเสาร์นัก อ่านได้เรื่อยๆ ไม่ตื่นเต้น และอาจจะเรียกว่าไม่อินก็คงได้ แต่โดยรวมถ้าชอบ หรือให้เด็กโตหน่อย ม.ต้น-ม.ปลาย ก็น่าจะได้ความรู้ดี

หนังสือเสียงจาก Audible ไม่แถม PDF ภาพ อันนี้แย่