Empathy to All

วันจันทร์แรกหลังปิดห้าง ผมเองยังไปทำงานที่สำนักงานอยู่ แต่คนหายไปจำนวนมากแล้ว ผมเดินไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวประจำที่กินมาแล้วสิบกว่าปี (จะว่าประจำคงไม่เต็มปาก เพราะบางเดือนก็ไม่ได้กินทั้งเดือน)

โซนฟู้ดคอร์ดนั้นโต๊ะหายไปทั้งหมด ร้านอาหารปิดไปกว่าครึ่ง แต่ร้านที่ผมจะกินยังคงเปิดอยู่ ผมเดินไปสั่งแบบกลับบ้านเพื่อนำไปกินในออฟฟิศ พร้อมทักทายกับแม่ค้าเล็กน้อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง แม่ค้าอายุราวแม่ผมตอบกลับมาว่าก็ไม่ค่อยดีแต่จะดูตอนเที่ยงอีกที

เรื่องน่าแปลกใจคือผมเพิ่งนึกได้ว่าวันนั้นแทบจะเป็นวันแรกที่ผมได้คุยกับเธอ เพราะตลอดสิบกว่าปีนี้ แม้ช่วงคนน้อยๆ ก็ยังมีคนซื้อเรื่อยๆ ทำให้ผมรีบซื้อรีบกินรีบไปตลอดมา

ผมมองไปรอบๆ ประเมินว่าด้วยปริมาณคน ร้านค้าไม่สามารถเปิดได้ครึ่งเดียวเท่านี้หรอก ผมขึ้นลิฟต์สำนักงาน คนมาทำงานที่สำนักงานไม่ถึง 1 ใน 5 แล้ว

ผมตั้งใจว่าพยายามกินก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นไปเรื่อยๆ ตลอดเวลาที่ผมยังไปทำงานอยู่ ความฝันเล็กๆ คือ อย่างน้อยร้านที่ผมกินมานานรอดสักร้านก็ยังดี

วันที่สี่ผมกลับไป ร้านนั้นก็ไม่เปิดอีกแล้ว

วิกฤติครั้งนี้บุคลากรสาธารณสุขคือด่านหน้าสุดแน่นอน เราควรให้กำลังใจกัน แต่อย่าลืมว่าทุกมาตรการ มันมีคนแบกรับอยู่ข้างหลัง พวกเขาแบกรับด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง หลายคนหมดรายได้ หลายคนอาจจะถึงกับขาดทุน หลายคนกำลังแบกเงินเดือนลูกน้องที่อยู่กันมานาน

มาตรการที่ต้องบังคับก็ต้องมี แต่การบังคับและขอร้องควรเต็มไปด้วยความเห็นใจ เข้าใจกันว่าแต่ละคนก็มีความจำเป็นของตัวเอง วางมาตรการอะไรก็หาทางออกให้พวกเขาด้วย

อย่างน้อยก็ระบุความจำเป็นด้วยน้ำเสียงแห่งความเข้าใจถึงความลำบากของคนอื่น อย่าใช้น้ำเสียงโทษคนข้างหลังเลย

 

Crash Landing on You

น่าจะเป็นละครเกาหลีเหนือเรื่องแรก (หนัง/หนังสือนี่เยอะแล้ว) และเรื่องราวเบาสมอง สนุกตลกกว่าทุกเรื่องที่เคยดูมา Son Ye Jin ยังคงเล่นได้ดีมาก แม้เรื่องก่อนๆ จะเน้นเครียดกว่านี้เยอะ

[Spoil!]

เนื้อเรื่องของ Crash Landing on You ไม่ได้พูดถึง ความโหดร้ายของเกาหลีเหนือเท่าไหร่นัก แตะๆ บ้างคือมีเด็กจนๆ วิ่งไปมาในฉาก ตัวประกอบหลักทั้งหมดเป็นคนชั้นกลางค่อนสูง มีชีวิตที่ปัจจัยสี่ไม่ได้เลวร้าย หลายคนอยู่ในระดับรวยแม้เทียบนอกเกาหลี

แม้จะสร้างภาพที่สวยงามเกินจริง แต่เนื้อเรื่องกลับฝันถึงสายสัมพันธ์ที่ไม่มีอยู่จริง ความปรารถนาว่าสองเกาหลีจะกลับมาเป็นชาติเดียวกันอีกครั้ง

แม้เรื่องจะจบอย่างมีความสุข แต่ภายใต้ความสุขนั้นคือความโหดร้ายของการแยกสองเกาหลีออกจากกัน สายสัมพันธ์ที่ต้องพลัดพราก ข้อความถึงคนในหมู่บ้านที่ห่างไปไม่ถึงสองร้อยกิโลเมตรแต่กลับเจือจางได้เพียงกล่องเครื่องสำอางค์ ช่วงเวลาที่พระนางมีความสุขในตอนจบนั้นเป็นความสุขที่มีได้เพียงปีละสองสัปดาห์ จากการเสี่ยงตายของทั้งคู่

สายสัมพันธ์และความฝันนี้แทบไม่มีอยู่จริงในโลกความเป็นจริง คำร้องขอพบญาติน้อยลงเรื่อยๆ ผู้ขอกลายเป็นผู้สูงอายุขึ้นไปตามระยะเวลาที่สองเกาหลีที่แยกขาดจากกัน สองชาติกำลังไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีกต่อไปภายใน 20-30 ปีข้างหน้า

ความไม่สมจริงของเรื่องจึงไม่ใช่ประเด็น เพราะประเด็นของมันคือการแสดงความฝันว่า จะดีแค่ไหนถ้าสองเกาหลียังมีปฎิสัมพันธ์กัน จะดีแค่ไหนถ้าสองเกาหลียังเชียร์บอลด้วยกันได้ และความสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องของการมองฟ้า

ปล. สวิสนี่สวยจริง และพบว่า Interlarken ที่คนชอบไปเล่น glider กันนี่นักท่องเที่ยวเกาหลีเยอะกว่าชาวจีน

 

May be you should talk to someone

หนังสือเล่มที่ 4 ของปีนี้ที่อ่านจบ เป็นเรื่องราวของนักบำบัดจิตวิทยา เขียนพาเราเข้าไปประสบกับการบำบัดของคนไข้ 5 คน รวมถึงตัวนักบำบัดเอง (ที่ไปให้คนอื่นบำบัด)

หนังสือเล่าถึงประสบการณ์ว่าทำไมคนเราจึงต้องไปบำบัด สร้างภาพให้คนเข้าใจว่าคนเราบางครั้งก็ผ่านเรื่องราวหนักหนาเกินไปที่หาทางออกไม่ได้ และการบำบัดก็อาจจะเป็นทางหนึ่ง พร้อมกับการหาสาเหตุของพฤติกรรมที่นำไปสู่การพบปัญหานั้นซ้ำๆ

หนังสือเขียนสนุก และตลกในบางมุมอยู่เรื่อยๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันเป็นหนังสือขายดีอยู่นาน ขณะเดียวกันก็เล่าถึงปัญหาภาพใหญ่ที่คนอเมริกันนิยมการใช้ยารักษาแทนการบำบัด เพราะได้ผลเร็วกว่า

อ่านได้เรื่อยๆ เหมือนอ่านนิยาย เนื้อเรื่องสลับหว่างอาจจะทำให้งงบ้างช่วงแรกๆ แต่พออ่านจบแล้วรู้สึกผูกพันกับทั้งสี่คน ในมุมหนึ่งก็คงคิดได้ว่าหากมีเรื่องร้ายแรงในชีวิตแล้วรับไม่ไหว ก็อาจจะต้องหาคนบำบัดไปนั่งคุยด้วยเหมือนกัน

 

23 ล้าน

วันก่อนที่มีข่าวซื้อตัวสส. กัน มีตัวเลขหนึ่งที่โผล่ขึ้นมาคือราคาอยู่ที่ประมาณ 23 ล้านบาท แล้วมีการพูดคุยกันเยอะว่าทำไมน้อยกว่าที่หลายคนคิด ผมเองเคยสัมภาษณ์บริษัท Robowealth ระหว่างสัมภาษณ์มีตัวเลขหนึ่งคือ คนจะเกษียณอย่างสบายได้ควรมีเงินเก็บอย่างน้อย 20 ล้านบาท

หลังจากลองมาคำนวณดูแล้ว 20 ล้านนับเป็นตัวเลขของคำว่า “สบายไปตลอดชาติ” อย่างพอดี จากที่เคยคุยกับคนทำงานว่าในกทม. นั้น รายได้ที่น่าจะ “สบายๆ” น่าจะเกิน 50,000 บาทขึ้นไป ที่รายได้เท่านี้ คุณจะกิน, เที่ยว, และมีชีวิตความเป็นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดีมากไม่ต้องประหยัดเท่าใดนัก แม้จะไม่ได้มีเหลือพอให้กินอาหาร fine dining บ่อยๆ หรือติดแบรนด์เนมเป็นว่าเล่นก็ตาม

เงินก้อน 20 ล้านบาท หากลงทุนแบบไม่เสี่ยงนัก ผลตอบแทน 4.5-5% ก็ไม่น่ายากเกินไป ผลตอบแทนนี้ทำให้เราสามารถมีชีวิตแบบรายได้ 50,000 บาทได้ โดยที่ยังมีเงินเหลือพอไปเก็บเพิ่มเพื่อสู้กับเงินเฟ้อเสียด้วย

แปลว่าเราจะมีคุณภาพชีวิตเท่าๆ กับเงินเดือน 50,000 บาทในวันนี้ ตลอดไป ทำให้ 20 ล้านนับเป็นตัวเลขที่ชวนให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ก็แค่ครั้งเดียว ที่เหลือจะอะไรก็ช่างมัน” ได้เป็นอย่างดี