วันจันทร์แรกหลังปิดห้าง ผมเองยังไปทำงานที่สำนักงานอยู่ แต่คนหายไปจำนวนมากแล้ว ผมเดินไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวประจำที่กินมาแล้วสิบกว่าปี (จะว่าประจำคงไม่เต็มปาก เพราะบางเดือนก็ไม่ได้กินทั้งเดือน)
โซนฟู้ดคอร์ดนั้นโต๊ะหายไปทั้งหมด ร้านอาหารปิดไปกว่าครึ่ง แต่ร้านที่ผมจะกินยังคงเปิดอยู่ ผมเดินไปสั่งแบบกลับบ้านเพื่อนำไปกินในออฟฟิศ พร้อมทักทายกับแม่ค้าเล็กน้อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง แม่ค้าอายุราวแม่ผมตอบกลับมาว่าก็ไม่ค่อยดีแต่จะดูตอนเที่ยงอีกที
เรื่องน่าแปลกใจคือผมเพิ่งนึกได้ว่าวันนั้นแทบจะเป็นวันแรกที่ผมได้คุยกับเธอ เพราะตลอดสิบกว่าปีนี้ แม้ช่วงคนน้อยๆ ก็ยังมีคนซื้อเรื่อยๆ ทำให้ผมรีบซื้อรีบกินรีบไปตลอดมา
ผมมองไปรอบๆ ประเมินว่าด้วยปริมาณคน ร้านค้าไม่สามารถเปิดได้ครึ่งเดียวเท่านี้หรอก ผมขึ้นลิฟต์สำนักงาน คนมาทำงานที่สำนักงานไม่ถึง 1 ใน 5 แล้ว
ผมตั้งใจว่าพยายามกินก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นไปเรื่อยๆ ตลอดเวลาที่ผมยังไปทำงานอยู่ ความฝันเล็กๆ คือ อย่างน้อยร้านที่ผมกินมานานรอดสักร้านก็ยังดี
วันที่สี่ผมกลับไป ร้านนั้นก็ไม่เปิดอีกแล้ว
วิกฤติครั้งนี้บุคลากรสาธารณสุขคือด่านหน้าสุดแน่นอน เราควรให้กำลังใจกัน แต่อย่าลืมว่าทุกมาตรการ มันมีคนแบกรับอยู่ข้างหลัง พวกเขาแบกรับด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง หลายคนหมดรายได้ หลายคนอาจจะถึงกับขาดทุน หลายคนกำลังแบกเงินเดือนลูกน้องที่อยู่กันมานาน
มาตรการที่ต้องบังคับก็ต้องมี แต่การบังคับและขอร้องควรเต็มไปด้วยความเห็นใจ เข้าใจกันว่าแต่ละคนก็มีความจำเป็นของตัวเอง วางมาตรการอะไรก็หาทางออกให้พวกเขาด้วย
อย่างน้อยก็ระบุความจำเป็นด้วยน้ำเสียงแห่งความเข้าใจถึงความลำบากของคนอื่น อย่าใช้น้ำเสียงโทษคนข้างหลังเลย