Les Misérables

ในช่วงปีที่ผ่านมาแนวทางการฟังเพลงผมเปลี่ยนไปมาก จากการฟังเพลงของดีสนีย์ และพบว่าเพลงหลักของเรื่องมู่หลานคือเพลง Reflection และพบว่าคนร้องเพลงนี้คือ Lea Salonga เมื่อตาม YouTube ไปเรื่อยๆ จึงพบว่าเธอดังมาจากวงการละครเวทีมาก่อน เรื่องแรกที่เธอเล่นคือ Miss Saigon โดยมันเลิกเล่นไปแล้ว แต่อีกเรื่องที่ดังระดับตำนานคือ Les Miserables ผมฟังเพลงจากเรื่องนี้ไม่หยุด จนจับพลัดจับผลูได้ไปลอนดอนเข้าจริงๆ แล้วหาโอกาสไปดูมันจนได้
ฉากหลักของ Les Misérables นั้นเป็นคือกบฎเดือนมิถุนายน เป็นกบฎเล็กๆ ที่มีคนเข้าร่วมเพียงสามพันคนเพื่อเรียกร้องให้เปลี่ยนการปกครองกลับไปเป็นสาธารณรัฐอีกครั้ง หลังจากที่ฝรั่งเศสถูกปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชแบบเสรีนิยม
ความเข้าใจคนไทยจำนวนมากคงเข้าใจกันผิดๆ ว่าประเทศที่ “เปลี่ยนเมื่อพร้อม” นั้นจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในทันที ในความเป็นจริงแล้วแม้แต่ฝรั่งเศสเองทุกวันนี้ก็เป็นสาธารณรัฐที่ 5 การต่อสู้กันระหว่างฝ่ายนิยมกษัตริย์กับฝ่ายต้องการประชาธิปไตยในฝรั่งเศสนั้นต่างกันมากจนหาจุดร่วมไม่ได้ ผลกลายเป็นการสู้รบนองเลือด
ในเรื่อง Les Misérables นั้นด้วยกำลังคนที่ต่างจากฝ่ายรัฐบาลถึงสิบเท่าตัว เพียงสามวันกบฎก็ถูกปราบจนราบคาบ จำนวนผู้เสียชีวิตนั้นต่างกันไป บางแหล่งระบุว่าประชาชนตายไปถึง 800 คนในครั้งนั้น
ตัวนิยายเรื่องนี้เขียนโดย Victor Hugo ที่เป็นรอยัลลิสต์ และเปลี่ยนมุมมองทางการเมืองมาเป็นฝ่ายสาธารณรัฐในภายหลัง โดยมุมมองของเขาสะท้อนออกมาจากนิยยายที่เขาเขียน
เรื่องนี้กำลังเข้าเป็นหนังเพลงปลายปีนี้ ก็รอดูกันได้ เพลงทำใหม่น่าจะฟังง่ายกว่าในละครเวทีด้วย
 

Lonely Chat

คิดเล่นๆ ว่าถ้ามีโปรแกรมแชต ที่ไม่ใช้ข้อมูลของเราเลย

เปิดมาแล้วมีปุ่มเดียวคือ “เหงา” กดแล้วเซิร์ฟเวอร์จะจับคู่คนอื่นๆ ให้คุยกัน

ถ้าคุยแล้วถูกคอ ก็คุยกันไป ไม่มี profile ไม่มี contact มีแต่แชต ถ้าปิดแชตก็จบไป หรือถ้าคุยไม่มากพอก็กดปุ่มเหงาซ้ำไปเพื่อหาคนคุยเพิ่ม

ไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นใคร และเราก็ไม่รู้ว่าเราจะคุยกับใคร

ก็แค่มีคนมาคุยกัน

 

One Day More

ภายใต้การต่อสู้ ภายใต้ความคิดว่าฝ่ายหนึ่งถูกฝ่ายหนึ่งผิด มันมีอะไรอยู่ใต้สิ่งเหล่านั้นมากมาก

มันมีความเชื่อ มันมีแรงผลักดันจำนวนมาก มันมีความรัก มันมีความโหยหา มันมีหลักการที่ต่างฝ่ายต่างยึดมั่นเอาไว้

เราจะมองอย่างไร เราจะละทิ้งคุณค่าของอีกฝ่ายหนึ่งเพียงเพราะเขายึดมั่นคนละหลักกับเรา หรือเราจะมองอย่างเรียนรู้ และทำความเข้าใจ

แล้วสิ่งที่เราเลือก จะตราอยู่ในชีวิตเราไปตลอดกาล

 

โกงอีกแล้ว

เรื่องหนึ่งที่ผมไม่ชอบมากๆ ในสังคมไทยวันนี้ คือ การมองว่าปัญหาทุกอย่างมีรากเหง้ามาจากการโกง

การมองเช่นนี้เป็นการมองที่ตื้น และหลายครั้งปัญหาหลายปัญหาก็มีรากเหง้ามาจากความกลัวแบบนี้เอง

คนเรามีแนวโน้มคิดว่า “กันไว้ดีกว่าแก้” จะไม่ทำให้เกิดปัญหาอะไร ผลที่ได้คือกระบวนการมากมายจนการพัฒนาหลายอย่างทำไม่ได้ หรือทำได้แต่ช้า หรือไม่ก็มีต้นทุนสูงมาก

พอต้นทุนสูง คนที่สร้างปัญหาแบบนี้ก็จะมองว่าเป็นการโกง แล้วสร้างกระบวนการที่จะเพิ่มต้นทุนในการพัฒนาเข้าไปอีก เป็นวนเวียนไม่จบสิ้น

มันอาจจะได้เวลามองใหม่ แล้วตั้งคำถามดีๆ ว่า “ปัญหาคืออะไร”