ความเป็นส่วนตัว

ช่วงนี้อ่านหนังสือเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวหลายเล่ม (สองเล่มหลักคือ Data and Goliah กับ The Smart Girl’s Guide to Privacy) คิดขึ้นมาได้ว่าทำไมความเป็นส่วนตัวในบ้านเราถึงไม่ค่อยดีนัก

คำอธิบายในหนังสือมักระบุว่าความเป็นส่วนตัวไม่ใช่ประเด็นของสิ่งที่เราต้องปกปิด แต่เป็นความสามารถในการควบคุมว่าเราจะนำเสนอด้านไหนของเราออกไป และนำเสนออย่างที่เราต้องการ ในช่วงเวลาที่เราต้องการ

ในแง่ของ mindset คนรอบๆ ตัว มักจะละเลยการมองว่าคนเราจริงๆ แล้วมีหลายด้าน และเรารู้จักเขาเท่าที่เขานำเสนอมา โดยไม่จำเป็นว่าการนำเสนอเช่นนั้นเป็นการหลอกลวงแต่อย่างใด แต่เพียงแค่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเขา ทำให้เขาแสดงตัวตนออกมาแบบหนึ่ง และเราแสดงตัวตนของเราออกไปอีกแบบหนึ่ง

เรานำเสนอตัวตนของเราในแบบหนึ่งในที่ทำงาน เรานำเสนออีกแบบหนึ่งกับครอบครัว และเราอาจจะนำเสนออีกแบบหนึ่งกับเพื่อน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การปลอมแต่อย่างใด เราอาจจะอยู่กับตัวตนหลายรูปแบบเหล่านี้ไปจนวันตาย

การตระหนักว่าแต่ละคนมีสิทธิ์นำเสนอตัวตนตามที่ตัวเองต้องการจึงเป็นแนวคิดสำคัญของความเป็นส่วนตัว ขณะที่ความคิดของคนจำนวนมากมักไม่ตระหนักว่าคนเราสามารถนำเสนอตัวตนได้หลายแบบ เรามักคิดว่าคนเรามีเปลือกนอก กับตัวตนที่แท้จริงเพียงเท่านั้น การที่คนๆ หนึ่งเสียความเป็นส่วนตัวไปจึงไม่ได้เสียอะไรมากไปกว่ามีคนที่รู้ตัวตนที่แท้จริง มองภาพแบบละคร ถ้าตัวตนที่แท้จริงของเราไม่ใช่ตัวร้าย เราก็ไม่ต้องกลัวอะไรที่มีคนรู้ตัวตนที่แท้จริง

ยกตัวอย่างการใส่ชุดว่ายน้ำ เราอาจจะใส่ชุดว่ายน้ำที่ค่อนข้างเปิดเผยเนื้อหนัง แต่เราเลือกที่จะใส่มันในเวลาที่เราต้องการ สถานที่ที่เราต้องการ (อาจจะชายทะเล) ขณะเดียวกันเราเลือกที่จะใส่ชุดทำงานเต็มรูปแบบเมื่อเราเข้าออฟฟิศ

มันไม่มีความจริงหรือความเท็จ การปกปิดหรือการเปิดเผย เราไม่สะดวกใจหากต้องใส่ชุดว่ายน้ำเข้าออฟฟิศไปทำงาน นายจ้างไม่ควรสิทธิ์บังคับลูกจ้างให้แต่งตัวเปิดเผยเช่นนั้นโดยอ้างว่าเวลาไปทะเลก็ใส่กันได้ เช่นเดียวกับข้อมูลอื่นๆ ที่เราคุยกับใคร นัดใครไปกินข้าวที่ไหน เราจะบอกอะไรใคร มันก็ไม่ควรมีใครบังคับให้เราทำ โดยอ้างว่าทีกับคนอื่นทำได้เช่นกัน

 

Good Doctor

Good_Doctor-p1

เจอมาจาก iflix กดดูเพราะคิดว่าละครหมอๆ ของเกาหลีทำดี เจอว่าเรื่องนี้น่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะเป็นเรื่องของคนเป็น autistic แต่มีความสามารถพิเศษแล้วจะมาเป็นหมอ ปีที่ผ่านมาอ่านหนังสือเกี่ยวกับ autistic ไปสองเล่ม (The Reason I Jump กับ The Curious Incident of the Dog in the Night-Time) สมัยเด็กๆ เองก็มี Rain man เป็นหนังในตำนาน

  • เปิดเรื่องดี สองตอนแรกนี่เออ เดินเรื่องโอเคเลย น่าสนใจตามต่อ แต่รวมๆ เรื่องทั้งหมดก็เดาได้ และตัวบทเองก็ไม่กล้าฉีกอะไรมากมาย
  • หนังแนวนี้น่าจะมีประเด็นหลักๆ คือการก้าวข้ามตัวโรคเพื่อทำงาน กับการก้าวข้ามเพื่อมีความสัมพันธ์ส่วนตัว (อยู่ในโปสเตอร์ชัดเจน)
  • แต่น้ำหนักจริงๆ กลับอยู่กับประเด็นแรกเกือบทั้งหมด ประเด็นหลังนี่บีบๆ อยู่ในตอนสองตอนหลังแล้วผ่านไปง่ายๆ เลย คนเขียนบทคงกลัวเรื่องมันจะดาร์กไป
  • พี่สาวคนไข้สวยกว่านางเอก
  • นางเอกคนเดียวกับเรื่อง Love Forecast ที่เคยดูบนเครื่องบิน ตอนแรกจำไม่ได้ว่าคนเดียวกัน แต่ใน Love Forecast ดูสวยกว่าในเรื่องนี้
  • โฆษณามีเลวๆ หลายจุด ช็อตพวกเครื่องดื่มอะไรนี่ไม่ว่ากัน แต่ช็อตไปกินแซนวิช Subway นี่เลวจนกระทั่งรู้สึกว่าไม่ทำลายเรื่องแล้ว คือมันกระโดดออกจากเรื่องจนเหมือนไม่ได้ tie-in แค่เป็นช่วงโฆษณาที่หลุดเข้ามาใน streaming ฉากรองลงมาคือนางเอกไปเดินป่าเจอหมอดู
 

LUKS

เมื่อวานลง Ubuntu ใหม่ แล้วหา USB มาทำ installer กวาดๆ ดูในเก๊ะได้อันที่น่าจะไม่ได้ใช้นานแล้วมาหนึ่งอัน

เสียบเครื่องไป LUKS เด้งขึ้นมา ลองรหัสผ่านอยู่สี่ห้าอัน ผิดหมด เดาๆ ตัวเองว่าน่าจะเป็นตัวที่ทำไว้สมัยหัด LUKS ใหม่ๆ รหัสน่าจะมั่วๆ เลยจับ format ทิ้งเลย เอามาใช้งาน

ความคิดแว๊บขึ้นมาในหัวว่าถ้าวันนึงโดนค้นบ้านแล้วเจอไอ้แบบนี้ จะต้องเข้าคุกโดยไม่เจออะไร แต่ไม่มีปัญญานึกรหัสไปบอกเขาไหม

 

Emergency Couple

Emergency_Man_and_Woman-p02

ดูจาก iflix เหมือนเดิม พบว่าน่าสนใจกว่าเรื่องอื่นๆ ที่เคยดูหลายประเด็น

  • นำเสนอมุมมองสังคมต่อคนเคย “หย่า” แม้แต่ผู้ชายเองก็เป็นจุดด่างพร้อย
  • ผู้หญิงนี่ยิ่งหนัก โดนมองว่า สกปรก (ในเรื่องนี่ตอนนึงพูดถึงขนาดว่าเคยเป็นแฟนกับหลายๆ คนก็ถือว่าสกปรกแล้ว) ช่วงแรงๆ นี่มีมุมมองว่าผู้หญิงที่หย่ามาแล้วเป็นผู้หญิง “ง่าย” ไปเลย
  • มุมมองแบบนี้นำไปถึงคำถามว่าจะหย่าดีไหม ในเรื่องนำเสนอคู่ที่ “น่าจะ” หย่ากันไป แต่ก็ไม่หย่า
  • Ji Hyo เล่นด้วยบทบาทตัวเองใน Running Man ร้อง “ย่า!” มันทั้งเรื่อง คาแรกเตอร์ไม่เปลี่ยน อันนี้คงเอามาเป็นจุดขายนึง คนดูอาจจะจำภาพแบบนี้ไปแล้ว กลับไปเป็นสวยเย็นๆ แบบ Princess Hours ไม่ได้แล้ว
  • เล่นกับคำว่า Emergency ด้วยการที่ตัวหลักๆ เป็นหมอ ER กันหมด และพระเอกนางเอกแต่งงานกันแบบด่วนๆ
  • Deuter นี่ “เกือบ” จะเข้ากับเนื้อเรื่อง เป็น token of appreciation จากนางเอกให้หัวหน้า แต่ทั้งเรื่องไม่มีเดินป่า ไม่มีอะไรเลย อยู่ๆ ใส่แจ็คเก็ตกันลมเข้าผับมันก็เกินไปหน่อย แถมต้องให้คนอื่นมานั่งชมว่าดูดีอีก เลี่ยนเกิน
  • ตอนนางเอกเดินเข้าช็อปก็ตะลึงไปหน่อย พี่ตัดเข้าโฆษณาเลยก็ได้ครับฉากแบบนี้
  • แต่เอาล่ะ มันก็มีส่วนในเนื้อเรื่อง พอทนๆ อันนี้แป๊บซีใน กวน มึน โฮ บ้านเรายังทำดีกว่าอีก (ไม่นับชิ้นอื่นที่ใส่มาเลวๆ)
  • ฉากพระเอกร้องเพลง The Scent of Flower (ซึ่งน่าจะเป็นฉากสำคัญ) ตัดต่อแบบปากไม่ตรงเพลง น่ารำคาญพอดู
  • ฉากรักษาคนไข้โหดได้ใจ ดู House MD มันทำ LP มาแทบทุกตอนยังไม่ค่อยเห็นเข็ม อันนี้จิ้ม LP ให้ดูจะๆ เด็กเล็กอีกต่างหาก
  • จบแบบ essay แบบเดียวกับเรือง Flower Boys Next Door โดยรวมๆ ก็ชอบการจบแบบนี้ คือมันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่รู้ว่าอนาคตเป็นไงหรอก แต่ฉากนี้ของชีวิตมันผ่านไปได้แล้ว
  • คู่รอง Han A-Reum กับ Im Yong-Kyu ใช้โฆษณาหูฟัง Beats โดยเฉพาะ ตอนหลังให้น้ำหนักกับคู่นี้มาก ชนิดแล้วทั้งสองก็รักกันตลอดไปเพื่อจะใส่หูฟังฟังเพลงด้วยกัน เสียสมดุลเรื่องตอนท้ายไปเยอะ (คู่หัวหน้าที่สำคัญกับเนื้อเรื่องกว่ายังไม่เฉลยขนาดนี้)
  • เข้าใจว่าเรตติ้งคงดี เพราะเป็น 21 ตอน แต่ตอนท้ายๆ พี่ flashback ไปมาเรื่อยๆ แบบนี้มันก็แย่ไปนะ