เห็นต่าง

วันนี้เดินไปซื้อรองเท้ากีฬา เดินไปอย่างสบายใจและกำลังลองรองเท้าอยู่ หันไปอีกทีก็เห็นทั้งบ้านกำลังดู ASTV

ผมเกลียด ASTV เพราะคิดว่ามันเป็นทีวีปลุกระดมที่สร้างขึ้นมาเพื่อเหตุผลทางการเมือง และผลประโยชน์ของสนธิเท่านั้น

แต่ผมยังซื้อรองเท้าต่อไป แม่ค้าถามว่าจะเอาถุงเท้าเพิ่มไหม ผมไปดูแบบแล้วไม่ถูกใจเลยปฏิเสธไปยิ้มๆ แล้วเดินออกมาพร้อมรองเท้า

เรื่องหนึ่งที่ผมไม่ชอบ เวลาอ่านเว็บบอร์ดราชดำเนินคือการจับขั้วกันอย่างสุดโต่ง ผมเห็นกระทู้จำนวนมาก อารมณ์ประมาณว่า “ร้านนี้เปิด ASTV จะไม่เข้าแล้ว ขอให้มันเจ๊ง” และความเห็นสนับสนุน พร้อมกับด่าแช่ง “ฝั่งตรงข้าม”

ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ ผมเชื่อว่าเราควรตระหนักให้มั่นว่า “ฝั่งตรงข้าม” นั้นเป็นคนไทย และไม่ว่าจะชอบหรือไม่ นี่คือคนที่เราต้องอยู่ร่วมประเทศไปอีกตลอดชีวิต

ไม่ว่าอย่างไรเสียเราก็ยังเป็นคนไทยเหมือนๆ กัน ไม่ควรมีการเสนอให้ “ไปอยู่ประเทศอื่น” เกิดขึ้นอีกในบ้านเมืองนี้

เรามีปัญหากัน เราพยายามแก้ปัญหา เราเรียนรู้จากปัญหา แล้วเราจะกลับมาอยู่ร่วมกันเหมือนเดิม

ไม่ใช่ว่า เรามีปัญหา เราฆ่ากัน ใครชนะครองประเทศ

 

We’re just “pity”

นานมาแล้วผมเคยไปยืนอ่านหนังสือฟรีในร้านหนังสือแถวโบสถ์

หนังสือเล่มนั้นเป็นรวมเรื่องสั้นที่เนื้อหาค่อนข้างหนัก ผมอ่านไปได้แค่เรื่องเดียวแล้วก็พบว่าตัวเองคงไม่อยากอ่านหนังสือแนวนี้เท่าใหร่เลยหยุดอ่านไว้แค่เรื่องเดียวที่ลองอ่านนั่นล่ะ

เนื้อเรื่องของเรื่องสั้นเรื่องนั้นพูดถึงครอบครัวหนึ่งที่มีโอกาสได้ไปช่วยเหลือหญิงท้องแก่ที่ขาดที่พึ่งด้วยการรับมาอยู่ในบ้าน

เวลาผ่านไป หญิงสาวคนนั้นดูเหมือนจะมีชีวิตที่สบายเกินไปในสายตาของสมาชิกครอบครัว ทุกคนเริ่มอึดอัดใจที่ต้องช่วยเหลือหญิงคนนี้ พวกเขาเริ่มกดดันให้หญิงคนนี้ต้องทำงาน และกดดันจากสายตาและความรู้สึก

เรื่องราวจบลงที่หญิงคนนั้นทำงานจนกระทั่งลูกคลอดออกมาระหว่างทำงาน และครอบครัวก็ตาสว่างขึ้นมาว่าพวกเขาไม่ได้อยากช่วยให้หญิงคนนี้มีชีวิตที่ดีกว่าเดิมเลย

พวกเขาแค่อยากให้มีคนที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามาอยู่ในบ้านเพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองนั้นสูงขึ้นสักหน่อย และพวกเขาอยากให้มันเป็นอย่างนั้นตลอดไป

ผมนึกถึงสังคมไทยในตอนนี้แล้วสังเวชกับความคิดของชนชั้น “ปัญญาชน” จำนวนมาก นานมาแล้วที่เรามองภาพว่าคนต่างจังหวัดขาดโอกาส เราสร้างภาพว่าเราอยากช่วยเหลือเขา ด้วยการออกไปสอนหนังสือเด็กกันปีละสามสี่วัน กับสร้างศาลาที่ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรให้หมู่บ้านละหลัง

แล้วเราก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองว่าเรานี่ช่างสูงส่งเสียจริงที่เราได้ช่วยเขาถึงเพียงนี้

มาวันนี้คนต่างจังหวัดเหล่านี้แหละ ที่เราบอกนักหนาว่าเขาควรได้รับโอกาสต่างๆ นาๆ เริ่มมีเสียงในสังคม

เรากลับลำกันทุกอย่าง ด้วยการดูถูกพวกเขาว่าโง่ และควรถูกกดให้อยู่ในระดับต่ำกว่าเช่นนั้นต่อไป พวกเขาไม่ควรมีสิทธิ์มีเสียงอะไร

เราอยากให้พวกเขารับการ “บริจาค” จากเราตลอดไป

แล้วเราก็รู้สึกว่าเราเป็นคนดีเสียจริง

 

Reverse Globalization

ภาวะน้ำมันแพงในช่วงหลังๆ มานี้สร้างภาวะใหม่ให้กับโลกกันอย่างช้าๆ โดยที่หลายๆ คนไม่รู้ตัว คือการถดถอยของกระแสโลกาภิวัตน์ เนื่องจากราคาน้ำมันที่กำลังแพงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อุตสาหกรรมหลายๆ อย่างที่มีสัดส่วนค่าขนส่งต่อราคาค่อนข้างสูงไม่สามารถแบกรับต้นทุนได้อีกต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือการไหลกลับของอุตสาหกรรมนั้นๆ ไปยังประเทศที่เจริญแล้วอย่างยุโรป หรือสหรัฐฯ

อุตสาหกรรมที่โดนผลกระทบแน่ๆ คืออุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ที่บ้านเรามีมูลค่าสูงพอสมควรเสียด้วย ผมไม่แน่ใจว่าเราเตรียมการอย่างไรกับการเปลี่ยนแปลงแบบใหม่นี้ เพราะคำถามมันเปลี่ยนไป จากเมื่อก่อนเราถามกันว่าทำอย่างไรเขาจึงไม่ไปซื้อของจากเวียดนาม, จีน หรือประเทศใน SE Asia แต่คำถามใหม่กลายเป็นว่าทำอย่างไรเขาจึงจะมาซื้อ เพราะปรกติแล้วเขาจะทำใช้เอง

สำหรับโลกไอทีเองนั้น คงไม่กระทบเท่าใหร่นัก เนื่องจากค่าขนส่ง “บิต” นั้นต่ำมากจนแทบไม่ได้รับผลกระทบจากค่าน้ำมัน

น่าสนใจมากว่าถ้าสถานะการณ์ยังเดินหน้าไปทางนี้ต่อไป โลกของเราจะเป็นอย่างไรกัน เราจะเห็นอุตสาหกรรมสิ่งทอ, ประมง, ฯลฯ ไหลกลับไปยังประเทศโลกที่หนึ่ง ถึงตอนนี้คนของเราจะทำอย่างไร?

ยังคิดไม่ออก จดเก็บไว้ก่อน

 

thailand

Cambodia and Thailand agree that Cambodia will propose the site for formal inscription on the World Heritage List at the 32nd session of the World Heritage Committee in 2008 with the active support of Thailand.

เอกสารของ UNESCO ตั้งแต่ปี 2007 นู่น

ผมไม่อยากเอาประเด็นศาสนามาพูดในบล็อกเท่าใหร่นัก

แต่ช่วงหลังมานี้ผมเบื่อมาก กับภาวะเชื่อไปเรื่อยๆ ของคนไทย ดูเหมือนว่า “ศาสนาไทย” นั้นไม่ได้รวมเอากาลามสูตรเอาไว้ในสารระบบแต่อย่างใด แต่เต็มไปด้วย “กุศโลบาย” (แบบเดียวกับไอ้ที่พี่ว๊ากมันอ้างมาน่ะ) ที่อธิบายไม่ได้