ผมเป็นคนหนึ่งที่เห็นด้วยกับโครงการ 30 บาท “ในหลักการ” มาโดยตลอด แนวคิดง่ายๆ คือคนเราไม่ว่าจะยากดีมีจนยังไง ก็ไม่ควรมีใครต้องเป็นไข้หวัดตายอยู่ข้างถนน มันสำคัญกว่าที่จะให้มีทางออกที่ให้ทุกคนใช้ได้โดยเท่าเทียมกัน
พล่ามเรื่องที่ตัวเองไม่เชี่ยวมา ก็ไม่มีอะไร ผมมองว่ารัฐควรสนับสนุนโครงการโอเพนซอร์สในระดับเดียวกับโครงการ 30 บาท นั่นล่ะ อาจจะถึงเวลาที่รัฐต้องบอกว่ามีทางเลือกขั้นต่ำที่ฟรีในการใช้งานทั่วไป โดยรัฐรับประกันว่าจะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
โครงการพวกนี้อาจจะต้องรวมเช่น ระบบปฏิบัติการ, เวิร์ดโปรเซสเซอร์, สเปรตชีท, กราฟฟิก และบราวเซอร์ ทั้งหมดนี้ต้องใช้ร่วมกันได้ ระดับที่ว่าลงชุดนี้แล้วเข้าถึงระบบของภาครัฐได้แทบทั้งหมด
ที่ผ่านมา ดูเหมือนเรายังขาดความจริงจังกันอยู่มาก โปรแกรมจำนวนมากที่ใช้ภาษาไทยได้ในตอนนี้เป็นการช่วยกันทำของคนกลุ่มเล็กๆ ที่ไม่ได้รับประกันอะไรว่าเมื่อผมย้ายไปใช้งานกับเขาแล้ว จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โค้ดทั้งหมดต้องถูก Commit เข้าเป็นส่วนหนึ่งของโค้ดหลักของแต่ละโครงการ
ในความเป็นจริงแล้ว โปรแกรมระดับพื้นฐานทั้งหมด หากต้องการพัฒนาภาษาไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีฐานเป็นโค้ด GPL ทั้งหมด ผมเชื่อว่ามันทำได้โดยบริษัทขนาดไม่เกิน 20 คน ค่าใช้จ่ายต่อปีไม่เกิน 10 ล้าน
น้อยกว่าค่าคอมพิวเตอร์ 100 ดอลลาร์แน่ๆ ล่ะ
ถึงเวลานั้น ไมโครซอฟท์จะไล่จับซอฟท์แวร์เถื่อนไปถึงในบ้าน ผมว่าก็ไม่ใช่เรื่องซีเรียสอะไร หากคนยังมีทางออกกันอยู่