ระดับนึง

ถ – งานที่ทำอยู่้เป็นไงมั่ง

ต – ก็ดีระดับนึง

ถ – แล้วครอบครัวล่ะ เป็นไงบ้าง

ต – ก็พอใช้ได้ ระดับนึง

ถ – รู้สึกยังไงกับชีวิตที่ผ่านมาบ้าง

ต – ก็พอใจในระดับนึงนะ

 

มาตรฐาน…

ได้​อ่าน​บล็อก​หนึ่ง​ที่​พูด​ถึง​คน​ที่​เขา (คน​เขียน) รัก​อย่าง​หมด​ใจ ถึง​ขนาด​ที่​ว่า​จำ​ได้​ว่า​วัน​ไหน​คุย​กัน​กี่​นาที ทำ​อะไร​ร่วม​กัน​บ้าง ฯลฯ

ผม​อด​คิด​ไม่​ได้​ว่า​ถ้า​สาว​เจ้า​มา​เห็น​เข้า คง​ประทับ​ใจ​ไม่​น้อย แต่​แล้ว​ใน​ใจ​หนึ่ง​ผม​ก็​อด​สงสัย​ไม่​ได้​ว่า ความ​รัก​แบบ​นี้​นั้น​จะ​คง​อยู่​ไป​นาน​สัก​เท่า​ใหร่กัน

เมื่อ​นึก​ขึ้น​ไป ผม​กลับ​มา​นึก​ถึง​ว่า เป็น​เรื่อง​ปรกติ​ที​เดียว ที่​เรา​จะ​มอง​ความ​รัก​ด้วย “ปริมาณ” เรา​ชื่น​ชม​คู่​รัก​คู่​หนึ่ง ด้วย​ความ​คิด​ที่​ว่า เขา​และ​เธอ​นั้น​รัก​กัน “เพียง​ใด” ใน​มุม​กลับ​กัน​แล้ว มี​คู่​รัก​ที่​อยู่​ใน​สภาพ​ระหองระแหง วัน​หนึ่ง​ดี​กัน และ​อีก​วัน​หนึ่ง​เกลียด​กัน แต่​เขา​และ​เธอ​ก็​ยัง​คง “รัก” กัน​เสมอ​มา

ใน​ช่วง​ชีวิต​ที่​ไม่​ได้​ยาว​นาน​อะไร​ของ​ผม ผม​พบ​ว่า​คุณ​ค่า​ของ​สิ่ง​หนึ่งๆ ที่​เรา​มอง​เห็น กลับ​ไม่​ได้​เป็น​เรื่อง​ง่ายๆ ที่​ชี้​วัด​ด้วย​เพียง​ค่า​บาง​อย่าง น่า​แปลก​ที่​สังคม​มัก​ชี้​เป็น​ชี้​ตาย​กัน​ด้วย​ค่า​เหล่า​นั้น​เสมอๆ อาจ​จะ​ด้วย​เหตุผล​ที่​ว่า​มัน​ง่าย หรือ​เป็น​ค่า​ที่​เป็น​มาตรฐาน​ที่​ยอม​รับ​กัน​ทั่ว​ไป

เช่น​เมื่อ​ตอน​เรียน​อยู่ ผม​ถูก​วัด​คุณ​ค่า​ด้วย​เลข​ทศนิยม​สอง​หลัก​ที่​เรียก​ว่า​เกรด​กัน​เสมอๆ เมื่อ​โต​ขึ้น​มา​เลข​นี้​กลาย​เป็น​จำนวน​เต็ม​ที่​เรียก​ว่า​เงิน​เดือน แม้​จะ​ผ่าน​เกณฑ์​ของ​ผู้​คน​รอบ​ข้าง​มา​ได้​ด้วย​ดี​ตลอด แต่​น่า​แปลก​ที่​ชีวิต​ผม​กลับ​พยายาม​วิ่ง​หนี​ค่า​เหล่า​นี้​อยู่​บ่อย​ครั้ง

บาง​ที​ชีวิต​ของ​เรา อาจ​จะ​ไม่​ได้​ถูก​สร้าง​ขึ้น​มา ให้​ถูก “วัด” ด้วย​มาตรา​ที่​มี​อยู่​ใน​โลก​นี้ เรา​อาจ​จะ​ไม่​ได้​รับ​อนุญาต​ให้​วัด​คุณ​ค่า​ของ​ใคร​คน​ใด​คน​หนึ่ง สิ่ง​ที่​เรา​ทำ​ได้​อาจ​จะ​เป็น​เพียง​การ​ประเมิน​ใน​ส่วน​ที่​เล็ก​ที่​สุด​ของ​คน​คน​นั้น

แต่​เรา​ล่ะ…..

จะ​ยอม​ทำ​แค่​นั้น​กัน​ได้​ไหม…..

 

ไม่ว๊ากแล้วไปไหน?

สืบเนื่องจากน้องนัทมารายงานข่าวมารายงานข่าวว่า ที่มหาวิทยาลัยของน้องเค้าโดนสั่งห้ามว๊ากเป็นการถาวรไปแล้ว เลยมาให้ช่วยคิดกิจกรรมใหม่ๆ ไปเสนอกัน อันนี้เป็นกึ่งๆ ความรับผิดชอบเพราะไปปะทะคารมกับน้องเค้าไว้ตั้งแต่ปีก่อน

แนวคิดหลักๆ ของผมที่มีต่อการรับน้องก่อนแล้วกัน แนวคิดพวกนี้ตกตะกอนมาจากแนวคิดก่อนๆ หน้า

  1. มันไม่จำเป็นต้องเหมือนเดิม ไม่มีอะไรคงอยู่ในรูปแบบเดิมได้ตลอดไป แนวคิดและจุดมุ่งหมายอาจจะคงเดิม แต่การทำอย่างเดิมๆ คือหนทางแห่งหายนะ (ที่มา)
  2. มันเป็นงาน ถ้าจะทำ มันคืองานที่ต้องรับผิดชอบ งานที่อาจจะล้มเหลวได้ งานที่มีโอกาสไม่ดีได้ และมีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างเกินคาดได้ ไม่ควรมีใครต้องแบกรับผลทั้งหมดของมันไว้ตามลำพัง ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ รุ่้นน้อง หรือใครก็ตามที (ที่มา)
  3. มันต้องแสดงความรับผิดชอบของผู้ทำเป็นอย่างดี หมดยุคของการโอดโอย โทษฟ้าโทษฝนถึงผลที่ตามมา แม้จะเป็นผลที่คาดเดาได้เสมอๆ
  4. ยอมรับความแตกต่างของแต่ละบุคคล รถฮอนด้าพันคันออกมาจากโรงงานเดียวกัน บ้านผมมีสองสามคันดีหมด ยังมีคันนึงออกมาให้คุณเดือนเพ็ญไปทุบจนเป็นข่าวไปทั่วโลก ดังนั้นอย่าคาดหวังว่าทุกๆ คนจะเหมือนกัน และโดยเฉพาะอย่าไปตัดสินว่าความแตกต่างนั้นเป็นความผิดเสมอ (3 กับ 4 นี่อันเดียวกัน)

แนวคิดอะไรประมาณนี้จะทำให้เกิดกิจกรรมเดียว ที่ทุกคนในมหาวิทยาลัยทำร่วมกันได้นี่เป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้ดี “ในภาพรวม” ได้ ยิ่งเราต้องคิดถึงแนวคิดข้อ 4 ในเรื่องความแตกต่างเข้าไปด้วยแล้ว แต่เท่าที่ลองนึกๆ ดูก็มี

  1. งานแฟร์ แทบทุกมหาวิทยาลัยมีงานแฟร์กันอยู่แล้ว ดีกรีความน่าสนใจต่างกันไป อย่างที่ผมชื่นชมมากๆ ก็เช่น ม.บางมด ถ้าทำให้งานแฟร์ในมหาวิทยาลัยเป็นงานที่คน “ส่วนใหญ่” มีส่วนร่วมได้ จะเป็นเรื่องดีมากๆ เพราะแบ่งส่วนได้ตั้งแต่วิชาการเต็มเหนี่ยวไปจนถึงบันเทิง (ต้องคุมสัดส่วนดีๆ ไม่งั้นเละ)
  2. ผมเคยพูดถึงวิชาสมมติ ที่ให้รุ่นพี่มีส่วนร่วมสูงๆ (อยู่ในบล็อกนี่ล่ะ แต่หาไม่เจอ) อย่างวิศวะก็เป็น Introduction to Engineering ให้ทำงานกลุ่ม รุ่นพี่มีส่วนร่วมมากๆ TA อาจจะอยู่ในระดับ 1 ต่อ 5 ทำงานกลุ่ม โปรเจคไม่ยากเกินไป แต่อาศัยความร่วมมือสูงๆ อย่างลองสร้างบ้านจำลอง, สร้าง GRID Computing จากซากคอม (ยากไปป่าวว่ะ?), เครื่องบินบังคับวิทยุ จากไม่บัลซาร์กับรถกระป๋อง ฯลฯ
  3. จัดติว อันนี้คงมีกันทุกมหาวิทยาลัย แต่คนมีส่วนร่วมอย่างมากๆ คงไม่เกิน 50 คน มากกว่านี้คงจัดการกันลำบาก
  4. เข้าค่าย เป็นกิจกรรมที่น่าจะดูเข้าท่าที่สุด แนวคิดคือจุดมุ่งหมายง่ายๆ ประสบความสำเร็จโดยเร็ว จะได้กลับบ้านไปอ่านหนังสือ อย่างเช่นไปปลูกป่าปีละิสิบไร่ ปักป้ายไว้ว่ารุ่นไหนก็คงเข้าท่า หรือไปดำนากันรุ่นละยี่สิบแปลง (ดำอย่างเดียว ให้ชาวนาดูแลต่อ) ถึงเวลากลับไปเกี่ยวมาหุงกิน จะได้รู้รสชาติ อันนี้อยากทำเองมานานแล้ว

แนวคิดพวกนี้ เอาเข้าจริงแล้ว มันก็แค่การสมมติในหัว และเขียนอธิบายอยู่ในหน้าจอคอมพิวเตอร์ สุดท้ายแล้วการเปลี่ยนแปลงคงต้องเจอความเจ็บปวดกันไม่น้อยจากการล้มลุกคลุกคลานของการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ แต่อย่างไรก็ตาม การเจ็บปวดในวันนี้ ก็เป็นการลดความปวด หากต้องเจอความเปลีั่ยนแปลงในวันพรุ่งนี้เสมอๆ

Now is better than never.
Although never is often better than *right* now.
The Zen of Python

 

ไม่น่าเชื่อ…

พ.ศ. นี้มันยังมีตัดรุ่นอีกเหรอเนี่ย……

ที่สำคัญคือยังมีเด็กเชื่อมันด้วย!!!!

ประเทศไทยยังต้องพัฒนาเรื่องการเข้าถึงข้อมูลกันอีกนานเลย