รู้ใจ

เวลาอ่านนิยายรัก คงเป็นเรื่องปรกติที่คู่แท้ในเรื่องจะสามารถสื่อใจถึงกันได้อย่างน่าอัศจรรย์

เธออาจจะมองท้องฟ้าเมื่อคิดถึงเขา และในเสี้ยววินาทีนั้นเอง เขาก็อาจจะมองไปที่เมฆก้อนเดียวกัน ความรักและความรู้สึกที่ดีของเขาและเธอเหมือนไม่มีอะไรมากั้นกลางได้

โลกความเป็นจริงไม่สวยงามเช่นนั้น ในความเป็นจริงแล้วขณะที่เธอกำลังมองท้องฟ้า เขาอาจจะกำลังทำงานหามรุ่งหามค่ำหรืออาจจะดูหนังสักเรื่อง ความโรแมนติคในหนังนั้นน่าซึ้งใจเพราะในโลกความเป็นจริงแล้ว เราคงอยากได้สัมผัสกับความรู้สึกเช่นนั้นนักครั้ง

แต่กลับมาในโลกความเป็นจริง มันจะเป็นเรื่องดีจริงๆ หรือหากหัวใจของเราโหยหาใครสักคน

เรามองท้องฟ้า แล้วถามฟ้าว่าอีกคนที่เราคิดถึงนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ใครคนนั้นจะคิดถึงเราเหมือนกันบ้างไหม

เรื่องน่าเศร้าคือ ไม่ว่าอีกคนนั้นจะมองไปที่เมฆก้อนเดียวกับเราหรือไม่

ฟ้าก็ไม่เคยบอกเราแม้แต่ครั้งเดียว….

 

Feeling

เพิ่งเข้าใจว่าเรื่องหนึ่งที่ยากเวลาสร้างความสัมพันธ์กับใครสักคนคือเรื่องของการแยกความรู้สึกออกจากกัน

คงเป็นเรื่องปรกติที่เวลาเราเป็นห่วงใครสักคนแล้วพบว่าเขาไม่ได้ตอบสนองต่อความรู้สึกของเราในแบบที่เราอยากให้เขาทำ

นาทีนั้นความคิดคงผสมปนเปกันอย่างสับสน หลายครั้งเรามักจะคิดว่าเราไม่ได้สนใจต่อความรู้สึกของเรา หนักเข้าเราเองอาจจะคิดว่าเริ่มเกลียดเขาไปแล้ว

แต่เมื่อย้อนเวลากลับมาแล้ว สุดท้ายเราก็พบว่าความห่วงใยก็ยังเป็นความห่วงใยอยู่ นั่นแหละและที่จริงแล้วเราก็ไม่ได้เกลียดอะไรเขาหรอก

 

underlying

เมื่อวันอาทิตย์ไปดูหนังมามีฉากหนึ่งที่กระตุกความคิดเล็กๆ ออกมา…

เรื่องราวตอนนั้นคือพระเอกซึ่งเป็นนักบัญชีพยายามแสดงความเป็นห่วงนางเอก ด้วยการอธิบายกระบวนการทางกฏหมายเพื่อให้นางเอกสามารถจัดการปัญหาได้ดีขึ้น

เรื่องราวดำเนินไปแบบตามครรลองฉากรัก (แม้จะไม่ใช่หนังรักก็ตามทีเถอะ) คือนางเอกโกรธพระเอกที่แทนที่จะเข้าใจและรับฟังปัญหา กลับมัวแต่พยายามพูดในสิ่งที่นางเอกไม่ได้อยากจะฟัง

ที่น่าสนใจคือเด็กคนหนึ่งมาบอกกับนางเอกที่กำลังโกรธนั้นว่า บางทีแล้วที่ชายหนุ่มพยายามพูดในสิ่งต่างๆ นั้น ก็คงเป็นเพราะเป็นสิ่งที่เขาทำได้ดี

…………

เวลาที่เรามองการกระทำหลายๆ ครั้งแล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เราจะมองได้เพียงการกระทำที่เรามองเห็นตรงหน้า

เมื่อเราได้ของขวัญจากใครสักคน ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เราจะให้ความประทับใจจากของขวัญที่เราได้รับนั้นเอง เมื่อเราได้ฟังอะไรจากคนอื่นๆ เราก็จะตัดสินความประทับใจจากข้อความที่เขาพูดออกมาเช่นกัน

แต่มันคงจะดี ถ้าเรามีเวลาสักช่วงหนึ่ง ที่เราหันกลับมาคิดว่าเขาทำสิ่งเหล่านั้นไปเพื่ออะไรกัน

คงจะดีถ้าเราจะเห็น ความตั้งใจที่จะไปเลือกของขวัญให้กับเรา และประทับใจกับความตั้งใจนั้น เราอาจจะเห็นความพยายามที่จะหาคำปลอบโยนที่ดี แม้คำพูดที่ออกมานั้นอาจจะไม่ได้เรื่องเท่าใหร่

ถ้าเราทำได้…. เราคงจะเห็นความรักอยู่รอบตัวเรามากขึ้นอีกมหาศาล…

 

conflict

อาจารย์ในภาคของผมมีอยู่คนหนึ่งทำงานวิจัยเรื่องของ Conflict of Services โดยหลักๆ แล้วมันคือการพยายามตรวจสอบและแก้ไขในกรณีที่บริการต่างๆ มีความขัดแย้งกันเอง เช่นว่า บริษัทมือถืออาจจะออกโปรโมชั่นนาทีละบาททุกเครือข่าย พร้อมๆ กับมีบริการเสริมโทรฟรีเฉพาะเบอร์ แต่บริการโทรฟรีเฉพาะเบอร์มีเงื่อนไขว่าโทรเบอร์อื่นๆ จะกลายเป็นนาทีละสองบาท

คำถามคือจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้ใช้สมัครทั้งสองแพกเกจนี้พร้อมๆ กัน?

ชีวิตของเราคงไม่ต่างกันมากนัก มันเป็นเรื่องปรกติที่เราจะตั้งเงื่อนไขกับคนรอบข้างเรา เราอาจจะเรียกร้องอะไรบางอย่างจากคนๆ หนึ่ง เราอาจจะตั้งกำแพงไม่ให้คนๆ หนึ่งเข้าใกล้เรามากไปกว่านั้น

แต่หลายๆ ครั้งแล้ว เงื่อนไขเหล่านั้นก็กลับขัดแย้งกันเอง

หลายครั้งเราตั้งคำถามว่าทำไมเขาหรือเธอจึงไม่ทำตามเงื่อนไขข้อนั้นข้อนี้ แต่เมื่อเงื่อนไขนั้นบรรลุผล แล้วเราลืมมันไป หลังจากนั้นเรามักจะพบว่ามีเงื่อนไขข้ออื่นกำลังถูกละเมิด

ไม่ใ่ช่เรื่องแปลกที่ความขัดแย้งเหล่านี้จะเกิดขึ้น ขนาดบริษัทมือถือที่มีคนดูแลบริการเหล่านี้เต็มเวลาจำนวนมากยังทำความผิดพลาดในเรื่องเหล่านี้เป็นประจำ ปัญหาที่ต้องแก้จึงไม่ใช่การระวังไม่ให้เงื่อนไขเหล่านั้นขัดแย้งกันเอง หากแต่เป็นการแก้ไขหลังพบความขัดแย้ง

ถึงเวลาหนึ่งแล้วเราคงต้องถามตัวเอง ว่าจริงๆ แล้วเราต้องการอะไรกัน และเงื่อนไขข้อใดต้องเป็นฝ่ายถอยเพื่อให้ความสัมพันธ์เดินหน้าต่อไปได้

แต่การถามตัวเองว่าต้องการอะไรจริงๆ…. คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก