Good-bye, Flock…..

ผม​ชอบ​แนว​คิด Flock เอา​มากๆ ที​เดียว​ล่ะ หลัง​จาก​ใช้​งาน​จริง​มา​หลาย​เดือน ผม​พบ​ว่า​แนว​คิด​ของ​มัน​นั้น​ต้อง​เรียก​ว่า​เข้า​ท่า​เลย​ที​เดียว แต่​ถึง​วัน​นี้​ผม​คง​ต้อง​ลา​จาก​มัน

เรื่อง​หนึ่ง​ที่​ช่วย​ไม่​ได้​เลย​คือ​ความ​เสถียร ขณะ​ที่​ผม​ใช้ k-meleon มา​ตั้งแต่ 0.8.2 มัน​ทำ​งาน​อย่าง​นิ่ง​เรียบ​มา​โดย​ตลอด Flock นั้น​กลับ​ให้​ความ​เสถียร​ได้​ต่ำ​อย่าง​ไม่​น่า​ให้​อภัย การ​เปิด Tab ที่​ทำ​ให้​ทั้ง​บราวเซอร์​ค้าง​ไป​มี​ขึ้น​บ่อย​มาก และ​ตัว​เขียน Blog ที่​ยัง​มี​บั๊ก​จำนวน​มาก

เรื่อง​หนึ่ง​คือ​ถ้า​ใคร​คิด​ว่า​ไฟร์ฟอก​ซ์มัน​กิน​แรม​แล้ว​ล่ะ​ก็ คุณ​จะ​พบ​ว่า Flock นั้น​กิน​เข้า​ไป​อีก 1.5 เท่า​ตัว​โดย​ประมาณ ถ้า​เทียบ​กับ k-meleon แล้ว​ล่ะ​เกิน​สอง​เท่า​ตัว​แน่ๆ ซึ่ง​ตรง​นี้​ผม​ให้​อภัย​มัน​มา​โดย​ตลอด​เนื่อง​จาก​เข้า​ใจ​ดี​ว่า​คำ​ว่า​อินทริเก​รตนั้นไม่ได้ได้มาฟรีๆ

ตอน​นี้​ใน​เครื่อง​เลย​เหลือ​แค่ k-meleon 1.0.2 ที่​เพิ่ง​อัพเกรด​มา (ดี​กว่า​เดิม​เยอะ) ไว้​ใช้​งาน​จริง ส่วน Firefox นั้น​ใช้​คู่​กับ Aptana และ Selenium เพื่อ​ทด​สอบ​เว็บ​เป็น​หลัก

เรา​อาจ​จะ​ได้​เจอ Flock บน​เครื่อง​ผม​อีก​ครั้ง หลัง​มัน​ผ่าน 1.0 ไป​ก่อน

ปล. ตอน​นี้​กำลัง​เตรียม​ต้อน​รับ TorPark เข้า​มา​เป็น​สมาชิก​ใหม่​อีก​ตัว

 

Blognone 3.0: The User Interface

ทุก​วัน​นี้​การ​ใช้​งาน Blognone มัก​มี​การ​เข้า​ชม​หน้า​เว็บ​ประมาณ 2.2 หน้า​ต่อ​การ​เข้า​เว็บ​ใน​แต่​ละ​ครั้ง เท่า​ที่​ดู​เว็บ​เมือง​ไทย​แล้ว โดย​เฉลี่ย​มัก​อยู่​ที่​ระดับ 7 หน้า​ขึ้น​ไป​เป็น​ส่วน​ใหญ่

ผม​มี​เป้า​หมาย​ว่า Blognone 3.0 นั้น​ต้อง​มี​ค่า​การ​เข้า​ชม​หน้า​เว็บ​ให้​ต่ำ​กว่า 1.6 หน้า​ต่อ​การ​เข้า​เว็บ​ใน​แต่​ละ​ครั้ง​ให้​ได้ ผม​ว่า​มัน​น่า​รำคาญ​ที่​คน​เข้า​เว็บ​เพื่อ​ต้อง​การ​อะไร​บาง​อย่าง ถูก​หลอก​ล่อ​ไป​มา​โดย​เข้า​ของ​เว็บ​เพื่อ​ให้​วน​เวียน​ใน​เว็บ​ของ​ตน​เอง

Blognone ต้อง​แตก​ต่าง ใน Blognone 3.0 ที่​หน้า​แรก​ของ​เว็บ ผู้​ใช้​ควร​ทำ​ฟังก์ชั่นพื้นฐานได้ทั้งหมด ตั้งแต่​การ​อ่าน​ข่าว อ่าน​คอมเมนต์ ไป​จน​ถึง​การ​คอมเมนต์ ทั้ง​หมด​ทำ​โดย​การ​ส่ง​ข้อมูล​ทั้ง​หมด​ไป​ตั้งแต่​ที​แรก แล้ว​ซ่อน​โดย​การ​ใช้ CSS/Javascript ทั้ง​หมด ฟังก์ชั่นการทำงาน​ส่วน​ใหญ่​เป็น​การ “โชว์” ข้อมูล​ที่​ถูก​โหลด​มา​ตั้งแต่​ต้น​มากกว่า​จะ​เป็น​การ​เข้า​หน้า​ใหม่

แนว​คิด​คือ​ส่วน​ใหญ่​แล้ว คอม​เมนต์นั้น​มี​ขนาด​ไม่​ใหญ่​มาก การ​สร้าง Connection ใหม่​นั้น​เสีย​เวลา​ผู้​ใช้​มากกว่า​การ​โยน​คอม​เมนต์ทั้ง​หมด​ไป​ให้​ผู้​ใช้​ตั้งแต่​ที​แรก

จะ​ไม่​มี​แบนเนอร์, หน้า Pop-Up หรือ Intro ตลอด​เวลา​ที่​ผม​บริหาร Blognone แน่​นอน ผู้​ใช้​เข้า​มา​อ่าน​บท​ความ สิ่ง​ที่​คุณ​ได้​คือ​บท​ความ​ใน​ทันที ส่วน​เรื่อง​อื่นๆ ถ้า​ต้อง​การ​เพิ่ม​เติม​จึง​ต้อง​โหลด​เพิ่ม​เอา​ใน​ภาย​หลัง

 

Single Sign-On

ด้วย​ประสบการณ์​การ​ทำ​เว็บ​มา​สอง​สาม​ปี ทำ​ให้​ผม​ต้อง​เข้า​ไป​นั่ง​ดู Admin Log ของ Drupal เป็น​งาน​ประจำ เรื่อง​หนึ่ง​ที่​ผม​พบ​คือ​คน​จำนวน​มาก​ลืม password ใน​การ​เข้า Blognone กัน​เป็น​ประจำ

ปัญหา Single Sign-On ที่​เป็น​มาตรฐาน​บน​เว็บ​ยัง​ไม่​ได้​รับ​การ​แก้​ไข​อย่าง​เป็น​ระบบ แม้​จะ​มี​มาตรฐาน OpenID ออก​มา​ให้​เรา​ใช้​กัน​แล้ว​ก็​ตาม

เท่า​ที่​ลอง​ใช้ OpenID มัน​ก็​พอ​ใช้​ได้​ดี​ที​เดียว ปัญหา​คือ​ไม่​มี​ใคร​ใช้​มัน​กัน​สัก​เท่าใหร่ เพราะ​เจ้า​ใหญ่ๆ เช่น Yahoo!, Google และ Microsoft นั้น จะ​ให้​มา​ลง​รอย​กัน​ง่ายๆ คง​เป็น​ไป​ไม่​ได้

มัน​อาจ​จะ​ถึง​เวลา​ที่​เรา​ต้อง​ตั้ง​กลุ่ม​พันธมิตร​เพื่อ​ผลัก​ดัน​การ​แก้​ปัญหา​นี้​อย่าง​เป็น​ทาง​การ​และ​เป็น​รูป​ธรรม เพื่อ​ให้​ความ​สะดวก​กับ​ผู้​ใช้ และ​สร้าง​ความ​ได้​เปรียบ​กับ​กลุ่ม​พันธมิตร​ใน​ระยะ​ยาว

ใน​ตอน​เริ่ม​ต้น​นั้น​มัน​อาจ​จะ​ไม่​ใช่​เรื่อง​ใหญ่​สัก​เท่าใหร่ เช่น​จะ​ให้ exteen เป็น​พันธมิตร​กับ Blognone ที่​มี​ธุรกิจ​คน​ละ​เซ​กเมนต์อย่าง​ชัดเจน​ก็​ไม่​มี​ปัญหา แต่​ถ้า​จะ​ให้ Pantip.com, Manager และ Sanook ร่วม​มือ​กัน เรา​คง​ต้อง​รอ​ไป​อีก​นาน

แต่​อย่าง​ไร​ก็​ตาม ความ​ร่วม​มือ​แม้​จะ​เป็น​การ​แบ่ง​กลุ่ม​ธุรกิจ คล้ายๆ น้ำ​อัด​ลม พิซซ่า และ​ไก่​ทอด ก็​ยัง​เป็น​เรื่อง​ดี เช่น​ใน​อนาคต เรา​อาจ​จะ​ต้อง​ใช้​พาสเวิร์ด​เพียง​สาม​สี่​ชุด​เท่า​นั้น เพื่อ​เข้า​ถึง​เว็บ 30 อันดับ​แรก​ของ​ประเทศ กับ​เว็บ​นอก​กระแส​อื่นๆ อีก​นับ​ร้อย แม้​จะ​ไม่​ถึง​โลก​อุดมคติ​ที่​ให้​ทุก​คน​ใช้​พาสเวิร์ด​เพียง​ชุด​เดียว แต่​ก็​ยัง​เป็น​เรื่อง​ที่​ดี​อยู่​ดี

ต้อง​เริ่ม​ที่ Blognone สิ​นะ

 

rework isn’t such good thing

While I love opensource so much for freedom to change anything I want to. Many times, I think opensource community spent too much effort to “rework” something those propietary softwares do have them. Most of these rework were happen for “compatible” dream.

Most clear example of this situation may be the Mono project. While I love this project so much, this project put very much effort on Windows.Form and hope to port many .NET application to Linux.

The drawback of this development path is Mono will never catch up with Microsoft’s API. When Windows.Form get nearly full compatible, Microsoft would be heavily promote their new API such as Avalon and within a year Mono will get far behind.

The way out of this loop may me to build some middle API like wxWindow to unified API for each platform. Developers would be have choice to write a portable code or stick to OS. The new API should be easy to port from major API as from MFC to wxWindow.

With this way, we can split the project to port program from “Windows.Form to Linux” into many projects. Frist project for developing new API. The rest project is to port (or fork) project those platform dependent into platform independent API.