by my side

เรื่องราวของนิยายหนุ่มสาวกว่าครึ่ง มักจะเป็นเรื่องราวที่ทั้งสองต้องฝ่าฟันอะไรบางอย่างไปร่วมกัน ถ้าคนเขียนบทใจดีการฝ่าฟันนั้นก็จะสำเร็จ แล้วทั้งสองก็จะครองรักกันตลอดไป แต่ถ้าคนเขียนดุหน่อยก็อาจจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้ต่ออุปสรรค แล้วทั้งสองก็ไม่ได้ครองรักกัน

แต่เรื่องที่น่าสังเกตคือ ในนิยายนั้นคู่พระนางเข้ากันได้ และเคียงข้างกันฝ่าฟันปัญหาไปได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าเป็นภาพยนตร์ คุณจะเห็นช่วงเวลาที่นางเอกกับพระเอกไม่ชอบหน้ากันไม่เกินครึ่งชั่วโมงเป็นส่วนใหญ่ ก่อนที่ความไม่ชอบหน้ากันนั้นจะเปลี่ยนเป็นความรักอย่างเดียวได้อย่างไม่น่าเชื่อในเวลาต่อมา

แน่นอนว่าโลกความเป็นจริงไม่ง่ายอย่างในหนัง และการเรียนรู้ที่จะเดินไปเคียงข้างกันก็ไม่ใช่อะไรที่ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง

กับเวลาที่เราชอบใครสักคน มันอาจจะง่ายที่เราจะบอกกับตัวเองว่าเราอยากจะปกป้องเขาหรือเธอจากสิ่งต่างๆ รอบข้างเราไม่ว่าจะเป็นการงาน คนรอบข้าง หรือจะเป็นสิ่งของเช่นรถสิบล้อที่จะพุ่งเข้ามาชนแฟนเราก็ตามที

เราอาจจะรู้ว่าเรื่องราวมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นเสมอไป เราอาจจะตระหนักว่าอาจจะมีหลายๆ ครั้งที่เราจำเป็นต้องเลือกข้างระหว่างคนที่เรารักกับหลายๆ อย่างเช่น งานที่เราทำ คนที่เราเคารพ สิ่งที่เราชอบ ฯลฯ

เราอาจจะบอกว่าเราต้องดูเป็นกรณีไปว่าครั้งไหนใครเป็นฝ่ายถูก และเราจะเลือกที่จะยืนเคียงข้างคนรักของเรา หรือจะเลือกที่จะเปิดโอกาสให้เขาหรือเธอปรับปรุงตัว แต่น้อยครั้งนักที่ความถูกผิดจะเป็นเรื่องง่ายๆ อย่างที่เราหวัง

คำถามคือในเวลาที่มันไม่ชัดเจนอย่างนั้น เราพร้อมหรือไม่ที่จะยืนอยู่ข้างคนที่เรารัก เราพร้อมที่จะสนับสนุนการตัดสินใจของเขาหรือไม่ เราเต็มใจที่จะทำเช่นนั้นจริงๆ หรือ?

 

หน่วยสนับสนุนการศึกษา

หน้าที่คุณคือสนับสนุนนะครับ กรุณาอย่าทำตัวเรื่องมาก อย่าคิดว่าตัวเองใหญ่ คุณไม่ใช่คนที่จะกำหนดมาตรฐานการศึกษา ตรงนั้นเค้ามีคนทำหน้าที่อยู่แล้ว

ทำอะไรคิดหน่อยว่าจะทำยังไงให้การศึกษาไทยมันดีขึ้น ย่อหน้าผิดไปสามมิลลิเมตรเนี่ยการศึกษาไทยมันไม่เจริญขึ้นมาหรอก

เบื่อพวกทำงานงี่เง่า

 

Matrix

วันนี้เจอเรื่องน่ารำคาญจากห้องสมุดเลยนึกถึงบางเรื่องขึ้นได้…

ผมคิดมานานแล้วว่าบ้านเราระบบราชการไทย น่าจะเป็นระบบหนึ่งที่มีการตรวจสอบและวัดผลมากที่สุดในโลก แต่น่าข้องใจเป็นอย่างยิ่งว่าทำไมจึงดูเหมือนว่าระบบที่ว่านี้จะเป็นระบบที่แย่เป็นอันดับต้นๆ ของโลกเช่นกัน

เรื่องหนึ่งที่คิดขึ้นได้คือปัญหาของระบบราชการไทย ไม่ได้เกิดจากการขาดการวัดผล หากแต่ปัญหาอยู่ที่การวัดผลที่ผิด

สิ่งที่เกิดขึ้นคือแม้จะมีการทำตามจนการประเมินผลดีขึ้นอย่างมากแล้ว แต่คุณภาพการทำงานก็ยังไม่ได้ดีอะไรขึ้นมา

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่เราๆ น่าจะเคยเห็นป้ายโฆษณาถึงความตรงเวลาของรถไฟฟ้า ที่น่าสนใจคือผมเชื่อว่าไม่ว่ารถไฟฟ้ามันจะตรงเวลาแค่ไหนก็ตาม เราๆ ท่านๆ จะไม่ได้รับประโยชน์อันใดจากมันเลย เพราะสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ไม่ใช่เรื่องของความตรงเวลาของรถไฟฟ้า แต่เป็นความเร็วในการเดินทางต่างหาก

มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะบอกว่ารถเข้าป้ายตรงเวลา (เวลาไหนบ้าง???) สิ่งที่เราต้องการจริงๆ คือการที่เราเข้าสู่สถานีแล้วเราสามารถไปโผล่ที่สถานีปลายทางได้อย่างรวดเร็วต่างหาก

สิ่งที่รฟม. ควรทำจึงไม่ใช่การวัดความตรงเวลาของรถไฟ แต่เป็นการวัดเวลาของคนที่ค้างในสถานีว่าต้องรอรถและเดินทางเฉลี่ยกี่นาทีกัน

เรื่องราวของห้องสมุดเป็นเรื่องราวแบบเดียวกัน โดยทั่วไปแล้วเจ้าหน้าที่ห้องสมุดมักมีแนวคิดจะทำให้ห้องสมุดนั้นเรียบร้อยเท่าที่จะทำได้ หนังสือทุกเล่มต้องอยู่ในตู้อย่างเป็นระเบียบ และห้องสมุดควรเงียบเท่าที่จะเงียบได้

คำถามใหม่คือหน่วยงานจำนวนมากลงเงินไปให้ห้องสมุดนั้น สุดท้ายแล้วหน่วยงานต่างๆ ไม่ได้ต้องการความเงียบ หรือระเบียบของหนังสือแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ต้องการจริงๆ กลับเป็นเรื่องของการได้รับประโยชน์จากตัวห้องสมุดไม่ว่าจะเป็นสถานที่และหนังสือ

ห้องสมุดจำนวนมากเริ่มมีโซน “ส่งเสียง” เพื่อให้คนที่เข้ามาใช้บริการสามารถพูดคุยกันได้ ผลคือคนเริ่มเข้ามาใช้ห้องสมุดกันมากขึ้น หลายๆ ที่ไปไกลกว่านั้นโดยการเปิดโอกาสให้นำของกินเข้าไปกินได้ เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมีห้องสมุดที่เรียบร้อยแต่ไม่มีใครเข้าไปใช้งาน หลายๆ ที่เริ่มให้ความสำคัญกับ “ตู้โชว์” หนังสือมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ผู้คนเห็นหนังสือที่น่าสนใจได้ง่าย และยืมออกไปอ่านกันมากขึ้น แทนที่จะดองมันไว้ในตู้

ภาคเอกชนเองก็เริ่มปรับตัวในเรื่องแบบนี้กันไปแล้ว หลายๆ ที่พยายามไม่วัดประสิทธิภาพลูกจ้างจากเวลาทำงานแบบเดิม เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่ให้พนักงานเข้ามานั่งเมาน์ในออฟฟิศอย่างตรงเวลา ที่วัดจากปริมาณงานเป็นหลัก

ก่อนที่เราจะเริ่มวางระบบการตรวจสอบคุณภาพ คำถามแรกของเราน่าจะเป็นคำถามที่ว่า “คุณภาพคืออะไร”