Digital Refugees

สองสามปีที่ผ่านมาเรามีกระแส (ที่สำเร็จไปแล้ว) คือการประมูล 3G ไม่ว่าจะดีจะชั่วอย่างไร มันก็เป็นก้าวแรกของการเข้าสู่ระบบใบอนุญาต

ผมพูดเสมอในประเด็น 3G ว่าสิ่งสำคัญของมันไม่ใช่การมีอินเทอร์เน็ตไร้สาย “ความเร็วสูง” ไว้ใช้งานกัน แต่ประเด็นสำคัญคือการย้ายมาใช้งาน non-voice ของคนทั่วๆ ไป เพราะผมมองว่าสังคมไปข้างหน้า เราต้องดึงคนอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามายังโลกอินเทอร์เน็ตในราคาที่เหมาะสมกับการใช้งานของพวกเขา

ด้วยความเป็นคนเมือง บ้านผมมีโทรศัพท์มาตั้งแต่จำความได้ ผมต่ออินเทอร์เน็ตครั้งแรกสมัยประถม และมี ASDL ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย ผมมีการ์ด Wi-Fi ใช้คนแรกๆ ในรุ่น ผมไม่ได้พิเศษอะไร มีคนจำนวนมากในรุ่นใกล้ๆ กับผมจนกระทั่งรุ่นหลังผมลงไป เติบโตขึ้นมาพร้อมกับการสื่อสารที่ดีพอสมควร คนกลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ใช้ Facebook พวกเขามีอินเทอร์เน็ตไม่จำกัดใช้งานได้ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน

ผมเรียกคนกลุ่มนี้ว่า Digital Natives พวกเขาอยู่กับโลกดิจิตอล โตมากับมัน และการใช้งานเป็นเรื่องที่คุ้นเคย พวกเขาอาจจะไม่ใช่คนจบคอมพิวเตอร์เสียทีเดียว แต่ก็เป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ใช้โปรแกรมแชตใหม่ ลงเกมใหม่เมื่อมันดังและมีเพื่อชวนเล่นด้วย พวกเขามีปัญหาเครื่องช้า มีปัญหาพื้นที่ไม่พอลงโปรแกรมใหม่บ้าง จนกระทั่งต้องเปลี่ยนโทรศัพท์สักครั้งหรือสองครั้งมาแล้ว

แต่ชีวิตผมเองต้องต้องเจอกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ในยุคที่บ้านผมมีโทรศัพท์ คนกลุ่มนี้ต้องนัดแนะกันทางอื่นเพื่อคุยกัน พวกเขาต้องนัดเวลากับที่บ้านเพื่อจะได้ไปรอรับสายจากเพื่อนบ้าน ส่วนคนโทรต้องโทรจากตู้สาธารณะ

ในยุคอินเทอร์เน็ต คนกลุ่มนี้ คือคนที่ไม่มีแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตไม่จำกัดใช้งาน พวกเขาอาจจะเป็นแม่บ้านอยู่ตามออฟฟิศ พนักงานรักษาความปลอดภัย หรือลูกจ้างร้านอาหาร พวกเขาใช้โทรศัพท์รุ่นสุดคุ้มต่างๆ และใช้งานจากแอพที่เพื่อนหรือร้านลงให้ พวกเขาใช้อินเทอร์เน็ตฟรีตามที่ต่างๆ อาจจะเป็นอินเทอร์เน็ตของอาคารที่อาศัยความสนิทสนมไปขอใช้งานมา อาจจะเป็นอินเทอร์เน็ตของร้านกาแฟข้างๆ

ผมเรียกคนกลุ่มนี้ว่า Digital Refugees เพราะขณะที่การใช้งานของพวกเขาไม่ได้มากมายอะไร แต่สิ่งที่พวกเขาใช้งานกลับเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาอย่างมีนัยสำคัญ พวกเขาเคยลำบากกับการสื่อสารที่ราคาแพง ไม่ทั่วถึง และใช้งานลำบาก คนกลุ่มนี้จำนวนมากต้องอยู่ห่างจากครอบครัวเพราะพื้นที่ทำงานไกลบ้านออกไปหลายร้อยกิโลเมตร

ขณะที่การใช้งานของพวกเขาน้อยกว่าการใช้งานของคนเมืองที่โตมากับไอที มีทุกสิ่งพร้อม แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ไอทีทำให้พวกเขากลับมากมายกว่ามาก พวกเขาเคยต้องแบกรับค่าใช้จ่ายมหาศาลในการสื่อสาร การพูดคุยเป็นเวลานานอาจจะหมายถึงต้องเดินทางกลับภูมิลำเนา ค่าใช้จ่ายที่สูงทำให้พวกเขาไม่สามารถสื่อสารกันได้สะดวก

โทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต เปลี่ยนชีวิตพวกเขาได้มากกว่าที่เปลี่ยนชีวิตคนเมืองอย่างมาก พวกเขาสามารถสื่อสารกันได้ตลอดเวลาเป็นครั้งแรก สามารถส่งข้อความเสียง ข้อความภาพ แม้การใช้งานจะน้อยกว่า แม้พวกเขาจะไม่เคยลองโปรแกรมใหม่ๆ พวกเขาแค่ใช้สิ่งที่เคยใช้งาน แล้วก็ใช้ต่อไปอย่างนั้นเอง

เวลาที่เราเรียกร้องการเข้าถึงไอที เราเรียกร้องอะไร เวลาที่เราเรียกร้องอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมากๆ (มากระดับที่ดูวิดีโอความละเอียดสูงได้ลื่น) เรากำลังเรียกร้องบริการ “ชั้นดี” มากกว่าที่จะเรียกร้องบริการ “ทั่วถึง”

คนจำนวนมากอาจจะรู้สึกโกรธที่ตัวเองเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมากตลอดเวลาไม่ได้ แต่ผมมองว่านั่นไม่ใช่ปัญหาที่ต้องได้รับการคุ้มครอง ปัญหาของคนมีกำลังซื้อของพื้นฐานแต่อยากได้ของชั้นดีเป็นเรื่องที่ต้องเรียกร้องกันเองผ่านกลไกตลาด ไม่ใช่กระบวนการคุ้มครอง

เพราะผมเชื่อว่าอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารควรนำมาซึ่งความเท่าเทียม ไม่ใช่ความรู้สึกหรูหราอะไร

 

จริยธรรมจอมปลอม

ช่วงสิบปีให้หลัง ผมเห็น “จริยธรรม” ในกระบวนการศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เราเห็นคำขวัญต่างๆ ของกระบวนการศึกษาต้องมีคำว่าจริยธรรมห้อยท้ายเอาไว้เหมือนโรงเรียนต้องมีห้องเรียน

บางทีผมก็ไม่เข้าใจว่าคำว่าจริยธรรมในความหมายที่ห้อยท้ายทุกคำขวัญเหล่านี้มีความหมายอย่างไรกัน

จริยธรรมที่พร้อมจะ “ให้อภัย” กับความผิด จริยธรรมที่ปกป้องเด็กที่ผิดอย่างชัดเจนโดยฝันลมๆ แล้งๆ ว่าเขาจะกลับตัวได้สักวันนั้นเป็นจริยธรรมไหม

จริยธรรมที่ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงกฎที่รู้ทั้งรู้ว่าโทษหลายกรณีมันเกินกว่าเหตุ แต่ก็ใช้อำนาจส่วนตัวยกเว้นโทษเหล่านั้นไปเฉยๆ แล้วเราก็กลับมาพร่ำสอนให้เด็กเกรงกลัวในกฎเหล่านั้น พร้อมๆ กับการอภัยที่ยืนยันกับเด็กคนอืนๆ ว่าทำไปเถอะ แล้วจะไม่ต้องรับผลที่ตามมาแต่อย่างใด

บางทีก็นึกถึงเรื่อง “พ่อแม่รังแกฉัน” ว่าใครกันที่เลว ระหว่างคนที่โตมาเลวกับคนที่ไม่เปิดโอกาสให้เด็กรับผลของการกระทำเลว (แม้จะเล็กน้อย) ของตัวเอง

 

Man of Steel [Spoil]

  • เนื้อเรื่องกาโม่ได้โล่ เพียงคุณตั้งใจทุกอย่างจะสำเร็จ (เอาเครื่องดื่มชูกำลังเป็นสปอนเซอร์จะเข้ามาก)
  • ยานเพาะเลี้ยงเหลืออยู่ลำเดียว? แสดงว่าที่ส่ง Codex มาก็ไม่ได้กะจะแพร่พันธุ์อยู่แล้วแต่แรก
  • เวลาเป็นแสนปี เทคโนโลยีไม่เปลี่ยนเลย? การ์ดของพ่อคาลยังใช้กันได้อยู่
  • ความขัดแย้งมันน้อยมาก คาลมั่นใจแทบจะตลอดว่าจะอยู่กับมนุษย์โลกแน่นอน
  • ดูเอาฉากบู๊แนะนำให้ดูสามมิติ เหมือนจะตั้งใจทำให้มันเป็นหนังบู๊สามมิติมากกว่าหนังที่เนื้อเรื่องดีๆ
 

Acer Aspire One 756

ซื้อตัวนี้มาแทน AO-722 สาเหตุหลักๆ คือ 722 มันคีย์บอร์ดย่อ แล้วค่อนข้างน่ารำคาญ ตัว 756 ได้คีย์บอร์ดเต็มแล้วยังเปลี่ยนชิปเป็น Intel Pentium 867

  • เย็นลงมาก ความเย็นนี่ต้องให้อินเทลชนะจริง
  • คีย์บอร์ดเต็ม ดีขึ้นเยอะ
  • แต่คุณภาพคีย์บอร์ดรวมยังแย่อยู่มาก ความหนึบพิมพ์ลำบาก
  • ลงวินโดวส์ 8 เพื่อฝึกใช้วินโดวส์ไปพร้อมกัน มันขยันอัพเดตมาก และอัพทีกินเวลาทำงานอย่างมีนัยสำคัญ
  • โดยรวมก็คุ้มราคา 8xxx มีความสุขกว่า AO722 เยอะ