วันเด็ก

วันเด็กกลับมาอีกครั้ง โลกทวิตเตอร์คงกลับไปเปลี่ยนภาพอวาตาร์เป็นภาพเด็กกันทั้ง timeline ตามทุกปี แต่ปีนี้มีประเด็นการเมืองเข้ามาก็อาจจะถึงเวลาพูดถึงเรื่องสังคมสักหน่อย

มีคนเขียนถึงในทวิตเตอร์ว่าวันเด็กแทนที่ผู้ใหญ่จะบอกให้เด็กเป็นอะไร น่าจะเป็นวันที่ให้เด็ก นั่นคือจะให้อะไรเด็ก มากกว่าจะบอกว่าจะเอาอะไรจากเด็ก อยากได้เด็กแบบไหนทำตัวยังไง

บ้านผมเป็นคนจีนรุ่นสาม รุ่นปู่ย่าตายายนั้นมาจากเมืองจีนทั้งหมด มองย้อนดูแล้ว เวลาพูดถึงเด็ก ก็เห็นว่าคนแต่ละรุ่นให้อะไรรุ่น “เด็ก” ของตัวเองได้บ้าง

รุ่นปู่นั้นคงเป็นเรื่องของความเป็นอยู่ กินอิ่ม นอนหลับ บ้านมีหลังคา ความสำเร็จของรุ่นปู่ที่บ้านคือเราไม่มีปัญหาอัตคัดอาหารแต่ละมื้ออีกแล้ว แม้จะหลงเหลือแนวคิดเช่น ต้องกินไม่ให้เหลือ หรือกินข้าวเยอะๆ ไม่เปลืองกับข้าวอะไรอย่างนั้นอยู่บ้าง

รุ่นพ่อแม่หลังจากเรื่องกินอยู่กลายมาเป็นเรื่องการศึกษา ที่บ้านผมเองนับว่าได้โอกาสการศึกษาอย่างเต็มที่ มีคอมพิวเตอร์ให้ใช้แต่เด็ก หนังสือเป็นของที่ซื้อได้ไม่จำกัด ในบ้านของผม (ซึ่งจำได้ว่าตอนเด็กๆ ซื้อหนังสือหนึ่งพันบาทนี่กองใหญ่มาก) ผลสำเร็จคือทุกคนในครอบครัวก็ประสบความสำเร็จในการเรียนกันดี

คำถามคือถ้ามีรุ่นต่อไป เราจะให้อะไรเขาได้ เราอยู่ในยุคที่การศึกษาไม่ใช่ของแพงขนาดนั้น โรงเรียนติวเตอร์ไม่จำเป็นต้องต่อคิวไปสมัครแต่อย่างใด คอมพิวเตอร์ คอร์สเรียนออนไลน์ล้วนเข้าถึงได้ในราคาถูกพอที่ชนชั้นกลางจะจัดหาได้ไม่ยาก

ในโลกแห่งความฝัน หากฝากอะไรให้คนรุ่นต่อไปได้ คงเป็นสังคมที่เปิดกว้าง เราอยู่ในยุคที่ต้องตระหนักว่าแนวคิดเรื่องการงาน เรื่องอาชีพมั่นคงที่เคยเป็นจริงมาหลายชั่วอายุนั้น เป็นจริงน้อยลงเรื่อยๆ ในชั่วอายุที่ผ่านมาเราเปลี่ยนความคิดจากที่ว่าดาราคืออาชีพเต้นกินรำกินไม่น่านับถือ กลายเป็นอาชีพที่ได้รับความนับหน้าถือตาในสังคม จนมาถึงยุคที่ความเป็นดาราเป็นสิ่งที่ไขว้คว้ากันเองได้ จากงานประกวดต่างๆ เรื่อยมาสู่การลงมือเป็น YouTuber ในทุกวันนี้

เราไม่รู้หรอกว่ารุ่นต่อไปจะเลี้ยงตัวด้วยอาชีพอะไร เราไม่รู้หรอกว่าคนรุ่นต่อไปจะเจอแฟนทางไหน ยี่สิบปีก่อนหากใครบอกว่าเจอแฟนทางอินเทอร์เน็ตก็นับเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น แต่ห้าปีที่ผ่านมาเพื่อนเก่าเราสักคนจะบอกว่าเจอแฟนทาง Tinder ก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไรแล้ว

ความเปลี่ยนแปลงที่เราประสบนี้ควรเตือนเราคนรุ่นปัจจุบันว่า “เราไม่รู้” อะไรเลยเกี่ยวกับคนรุ่นหน้า เด็กรุ่นนี้สิบขวบต้องฝึกขับรถไหม หรือรถไร้คนขับจะเต็มถนนแล้วตอนพวกเขาอายุพอทำใบขับขี่ พวกเขาควรเรียนอะไร ขณะที่เรานั่งรอว่านักร้องต่างประเทศสักคนจะมาจัดคอนเสิร์ตที่ไทยไหม ลูกหลานของเราหลายๆ คนอาจจะคุยกับนักร้องที่เขาชอบผ่าน IG Story ได้โดยตรงโดยพ่อแม่ไม่รู้เรื่องด้วย

เราได้แต่หวังว่าสังคมที่เราทิ้งไว้ให้จะไม่โหดร้ายกับพวกเขาจนเกินไป พวกเขาจะมีโอกาสลองผิดลองถูกกับชีวิตที่เราก็ให้คำแนะนำไม่ค่อยได้นี้ และพวกเขาจะเติบโตขึ้น โดยสามารถอยู่กับสังคมที่เราไม่รู้จักนี้ไปได้อย่างมีความสุข

น่าเศร้าที่สังคมเราในช่วงสิบปีมานี้ถดถอยลงอย่างรวดเร็ว เราอยู่ในโลกที่มีแต่สีขาวกับดำ เรานิยามความดีและความชั่วโดยมีเส้นแบ่งที่ชัดเจนโดยไม่รอ เราเป็นสังคมที่ให้อภัยกันน้อยลงเรื่อยๆ และสามารถเรียกร้องการเพิ่มโทษอย่างไม่สมสัดส่วนได้โดยมีเสียงดังในสังคม

วันนี้ที่ผมมองย้อนกลับไป 50-60 ปีแล้วเห็นสังคมที่รุ่นก่อนหน้าทิ้งไว้ให้ ก็ได้แต่สงสัยว่าอีก 20-30 ปีข้างหน้าเราจะมองย้อนกลับมาแล้วคิดว่าเราทิ้งอะไรไว้ให้คนรุ่นต่อไป

 

Pre-Order

ซื้อของออนไลน์มานาน ไม่เคยคิดออกว่าจะพรีออเดอร์ทำไม ยิ่งเป็นสินค้าดิจิตอล ที่ไม่มีจำกัดยิ่งคิดไม่ออก

แต่วันนี้ก็กดไปแล้วชิ้นแรก

 

วิศวกรใหม่

เดือนที่แล้วมีโอกาสไปพูดที่งานปฐมนิเทศของ MFEC แนะนำน้องพนักงานใหม่ ว่ามีคำแนะนำอะไรบ้างในการทำงาน เลยมาสรุปไว้หน่อย

ใช้งานหัวหน้า 15 ปีก่อนสมัยผมเริ่มทำงาน ตอนอบรมก็ได้รับคำอบรมมา คำนึงคือ “มีหัวหน้า ใช้ให้เยอะๆ” ตอนนั้นนึกไม่ออกนักว่าใช้ยังไง (ใช้แล้วจะโดนไล่ออกไหม) แต่ในความเป็นจริงแล้ว เวลาทำงาน เราควร “ใช้หัวหน้า” เมื่อต้องใช้ อยู่เรื่อยๆ และความทุกข์ในการทำงานก้อนใหญ่ๆ มักเกิดจากการไม่ได้ใช้หัวหน้าในจังหวะที่ต้องใช้ เช่น งานมีปัญหาในระดับที่เราตัดสินใจไม่ได้ หรือทุกข์ใจกับงาน มีปัญหากับเพื่อนร่วมทีม ฯลฯ บ่อยครั้งสิ่งที่เกิด คือ พอเราทุกข์ถึงระดับนึงเราก็แอบๆ ไปสมัครงานใหม่ หัวหน้ารู้จริงๆ ว่าเราทุกข์แค่ไหนหรือนานแค่ไหนคือวันที่เราไปลาออก บางคนหนักกว่านั้น จนลาออกแล้วก็ยังไม่ยอมบอกว่ามีปัญหาอะไร

การแจ้งปัญหาให้หัวหน้ารู้ไม่ได้แก้ปัญหาทันทีเสมอไป แต่ที่แน่ๆ คือหากเราไม่บอก ปัญหาจะไม่ถูกแก้ แทบไม่มีหัวหน้าคนไหนจะรู้ได้ทันทีว่าเรามีปัญหาอะไร ไม่ว่าจะเป็นความไม่พอใจเงินเดือน โบนัสน้อยไป, เพื่อนร่วมงานนินทา ฯลฯ บางอย่างบอกไปหัวหน้าอาจจะได้แค่รับทราบ แต่ถ้าบอกไป 5 เรื่องถูกแก้ได้ 2 เรื่อง แล้วจะทนกับ 5 ไปเรื่องทำไม?

รักษาสมดุลชีวิต อันนี้ตามจากหัวข้อที่แล้ว ธุรกิจแบบ MFEC บางทีก็มีช่วงที่งานหนัก อาจจะต้องอยู่ดึกกว่าปกติ แต่เมื่อมีเหตุจำเป็นก็มักคุยกันได้ สมัยผมเป็นจูเนียร์ก็มีเพื่อนที่ไม่กล้าขอกลับก่อนแม้จะเป็นวันเกิดแฟน อันนั้นเกินไป อย่าขนาดนั้น เหตุแบบนี้บอกกันสักหน่อย (ให้ดีก็บอกล่วงหน้า) ก็ไม่มีปัญหาอะไร

อย่าหยุดเรียน อันนี้เน้นกับสายงานไอที เทคโนโลยีมันเปลี่ยนทุก 3-5 ปี คุณหยุดเรียนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นรู้ตัวอีกทีจะไม่ทันแล้ว มาวันนี้ความสามารถด้านลินุกซ์แทบกลายเป็นพื้นฐานในการพัฒนาซอฟต์แวร์สมัยใหม่ (แม้แต่จะพัฒนาบนแพลตฟอร์มไมโครซอฟท์!!!) หาเวลาและงบประมาณเรียนเรื่องใหม่ไปเรื่อยๆ บริษัทมีโอกาสอะไรให้ก็ใช้ซะ ที่สำคัญคือภาษาอังกฤษ ความรู้ไอทีส่วนใหญ่ในโลกอยู่ในภาษาอังกฤษ จะก้าวหน้าได้ก็ต้องอ่าน/ฟัง ตรงจากเจ้าของให้ได้ เทคโนโลยีตัวอื่นฝึกไปเรียนไปอาจจะไม่ได้ใช้เพราะเลือกเรียนผิด แต่ภาษาอังกฤษแทบไม่มีโอกาสผิด การศึกษาไทยไม่ได้ดีพอที่จะบอกว่าได้เกรดภาษาอังกฤษมาดีๆ แล้วจะได้คล่อง แต่เมื่อมาทำงานมีทรัพยากรเพิ่มจากตอนเรียนก็ควรขวนขวายให้ใช้งานได้เป็นธรรมชาติ ดู Netflix ปิด subtitle (ดูเกาหลีก็ซับอังกฤษ), อ่านหนังสือคู่มือไม่ต้องรอแปล ไม่ต้องรอบทความภาษาไทย