– อาศัยความสัมพันธ์เพื่อเพิ่มจำนวนคน
– ไม่อยากทำก็ไม่ได้เดี๋ยวเสียเพื่อน
– ทำไปแล้วก็ไม่มีความสุข
– สักพักก็เลิก ลืมๆ มันไป
โถ… ไอ้ขายตรง
– อาศัยความสัมพันธ์เพื่อเพิ่มจำนวนคน
– ไม่อยากทำก็ไม่ได้เดี๋ยวเสียเพื่อน
– ทำไปแล้วก็ไม่มีความสุข
– สักพักก็เลิก ลืมๆ มันไป
โถ… ไอ้ขายตรง
ว่ากันว่า ความรักที่แท้นั้นเป็นความรักที่เพื่อคนอื่น ส่วนความรักที่เอาเข้าตัวอย่างเดียวนั้นจะกลายเป็นความเห็นแก่ตัวไป
หนังรักเรื่องหนึ่งที่อยู่ในหัวผมอยู่เสมอคือเรื่อง As Good as It Gets มันเป็นเรื่องของชายคนหนึ่งที่เป็นโรค [OCD](http://en.wikipedia.org/wiki/Obsessive-compulsive_disorder) ทำให้ตัวเขาเองมีความคิดในแง่ลบ และพูดอะไรต่อมิอะไรในแง่ลบตลอดเวลา
แล้วชายคนนี้ก็มีความรัก…
สปอยกันดื้อๆ ว่าหนังเรื่องนี้จบ Happy Ending แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
เรื่อง [As Good as It Gets](http://en.wikipedia.org/wiki/As_Good_as_It_Gets) นั้นให้มุมมองที่คล้ายๆ เรื่อง “เวลาในขวดแก้ว” แต่เป็นมุมมองของความรัก ทั้งสองเรื่องจบแบบมีความสุขโดยที่ถ้าใครดูในเนื้อหาแล้ว อุปสรรคของความสุขที่มีมาตลอดเรื่องนั้นไม่ได้หายไปไหน
Melvin ซึ่งเป็นพระเอกนั้นพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเอาชนะอาการของเขาเองที่ทำให้เขาพูดสิ่งต่างๆ ที่เลวร้าย ชนิดที่ว่าผู้หญิงคนไหนได้ยินคงร้องไห้ตลอดเวลา นางเอกคือ Carol นั้นก็รับรักของ Melvin โดยตระหนักดีว่าเขาจะไม่สามารแก้ปัญหาของเขาได้ดีไปกว่านี้อีกแล้วดังชื่อเรื่อง (ดีเท่าที่จะทำได้…)
ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์ ไม่มีเลย เราทุกคนล้วนมีข้อเสียบางอย่างที่ทำให้คนที่เรารักเจ็บปวดได้เสมอ
ดูจะเป็นความขัดแย้งที่แปลกประหลาด ขณะที่เรารักคนๆ หนึ่งแล้วอยากให้เขามีความสุข เราพบว่าตัวเราเองนั่นแหละที่ทำให้เขาทุกข์อยู่ด้วย
แน่นอนไม่ใช่ความรักทุกครั้งจะเป็นเช่นนี้ คู่รักหลายคู่เลือกที่จะจบความสัมพันธ์เพื่อจะจบความเจ็บปวดนั้น
ดูเหมือนว่าจะไม่มีเส้นแบ่งใด บอกได้ว่าตรงไหนกันที่ความสัมพันธ์หนึ่งๆ จะไปต่อ หรือจะจบลง เพราะทุกความสัมพันธ์นั้นเองก็มีด้านที่เลวร้ายอยู่ด้วยกันทั้งนั้น
เราเลือกที่จะแลกเปลี่ยนกันระหว่างความสุขและความทุกข์ที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์เหล่านี้ เพราะมันเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าเท่านั้นหรือ?
เนื่องจากช่วงนี้ตกงานครับ เลยเป็นโอกาสอันดีที่จะไปต่อใบขับขี่เสียให้เรียบร้อย แม้ว่าจะหมดอายุในอีกสามเดือนข้างหน้าก็ตาม
จริงๆ แล้วภาพแย่ๆ ของการทำใบขับขี่นั้นสำหรับผมจะมีบ้างก็สมัยฟังพ่อเล่าให้ฟังว่ามันทำยากนักหนายังไง กับอีกครั้งคือตอนไปสอบเองที่เสียเวลาไปทั้งวัน แต่พอมีโอกาสต้องไปทำใบขับขี่ใหม่เนื่องจากกระเป๋าตังค์หายก็พบว่ามันไม่ได้น่ากลัวอะไรอย่างนั้นเลย ทุกอย่างใช้เวลาดูสมเหตุผลดีพอสมควร
และวันนี้ การทำใบขับขี่ก็ “รับน้อง” ผมจนได้
ข้อควรรู้เบื้องต้น
– การทำใบขับขี่แบบ 5 ปี ต่อไปอีก 5 ปี ใช้เวลา “อย่างน้อยที่สุด” คือ 1.5 ชั่วโมง ในกรณีที่คุณฟลุคเข้าไปคนท้ายๆ ของชุดแล้วได้ทดสอบพอดี
– ต้องดูหนังอีก 53 นาที หนังทำดีใช้ได้แต่นานเกินไป เนื้อเรื่องหลายส่วนยืดอย่างไม่จำเป็น ตัดลงเหลือ 40 นาทีจะดีขึ้น
– ข้อมูลไม่แน่น น่าจะมีสรุปหน่อยว่าการกระทำที่ไม่ดีนี่มันมีผลรวมๆ ที่เก็บมาได้ยังไงบ้าง
– บุหรี่เต็มเรื่อง แต่ไร้หมอกแห่งศีลธรรม
– ไม่ต้องใช้ใบรับรองแพทย์นะ
– ทำบัตรมี 5 ช่อง คนนึง 2-3 นาทีก็เสร็จ เก็บค่าถ่ายรูป 100 บาท ยิ้มได้!!! แถมถ่ายสองรูปให้เลือก (สาวก่อนผมยิ้มร่าเลย..)
ความบัดซบมันเริ่มขึ้น เมื่อผมยื่นฟอร์มใบแรกไป แล้วเจ้าหน้าที่เดินกลับมาบอกว่า “น้องคะที่อยู่น้องไม่ตรงกับในทะเบียนราษฏร์นะคะ ขอสำเนาทะเบียนบ้านด้วย….”
สปอยล่วงหน้าคือแถวบ้านผมมีการจัดระเบัยบเลขที่บ้านใหม่ครับ ทีนี้ไอ้ผมก็ไม่มีทะเบียนบ้านใหม่ บ้านเลขที่เดิมนั้นก็ใช้กันมาตั้งแต่รุ่นปู่
เจ้าหน้าที่ดูไม่ตกอกตกใจอะไร คงเพราะมีคนโดนกันหลายหมื่นหลายแสนจนชิน เลยบอกให้ผมไปทดสอบให้เสร็จก่อนเลย แล้วค่อยไปคัดสำเนาทะเบียนราษฎร์ที่เขตเอาทีหลัง
ผมเข้าไปถึงตอน 9.30 ทดสอบเสร็จจนบ่มสุกแล้วก็ออกมาตอน 11.10 ครับ ออกมาเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าน้องไปเขตได้เลย “แล้วกลับมาให้ทันบ่ายสามนะ….” (ไปเขตไหนก็ได้ เขตบางขุนเทียนนั้นอยู่ห่างไปไม่ถึง 10 กิโลเท่านั้น๗
ขับรถไปเขตบางขุนเทียน เทียบท่าเวลา 11.40 เดินไปขอบัตรคิว เจ้าหน้าที่ตรงประชาสัมพันธ์ก็บอกว่า 21 คิวนะคะ…
สำนักงานเขตยุคใหม่รับใช้ประชาชนครับ น่าประทับใจมากๆ ผมใช้เวลาเพียง 2 นาทีก็ได้สำเนาทะเบียนบ้านที่ update แล้วออกมาสองใบ
แต่ก่อนนั้นแม่งรอไปสองชั่วโมงเต็ม!!!
ผมพบว่าสำนักงานเขตนี่ “ราชการ” ฉิบหายเลยครับ อารมณ์เดียวกับที่ผมเจอที่ ม. เลย
– คำร้องประเภท 1 รอช่อง 14-18 นะครับ
– ห้าช่องคนทำอยู่คนนึง
– ช่องข้างเคียงนั่งว่าง
– จัดประเภทกันอีท่าไหนไม่รู้ ของผมสองนาที บางคน 20 นาที
ผมรอจนอ่าน The Cardinal of Kremlin จบไปสองบท หลับไปอีกตื่น จนผ่านไป 20 คิวแล้วเคาท์เตอร์ข้างๆ เพิ่งเรียกว่า “ช่องนี้ก็ได้นะครับ”
ตอนนั้นก็ถึงคิวผมพอดี….
หนึ่งในหนังสือท่ผมซื้อมาจากคิโนะฯ ในช่วงหลังๆ นี้คือ Jurassic Park โดยจริงๆ แล้วตั้งใจว่าอ่านหนังสือของ Micheal Crichton ให้หมด
ในหนังเรื่องเดียวกันนั้น เราจะเห็นความยิ่งใหญ่ แต่นแต๊น โอ้โน่นไดโนเสาร์ อะไรอย่างนั้น แต่ในนิยายนั้นเป็นอีกมุมมองหนึ่งที่ว่าด้วยการที่มนุษย์พยายามจะเป็นพระเจ้า
ในหนังนั้นเอียน มัลคอม เป็นเพียงนักคณิตศาสตร์ที่ทำตัวแปลกๆ หน่อย (ออกจะหน้าม่อด้วย..) แต่ในนิยายนั้นเขาคือตัวเดิน “แนวคิด” ทั้งหมดของเรื่อง
คำถามของนิยายไม่ใช่ว่า “จะยิ่งใหญ่แค่ไหนถ้าเรานำไดโนเสาร์กลับมาได้?” แต่เป็นว่า “เรานั้นมันเล็กน้อยแค่ไหน และเราอวดตัวมากเพียงใดที่จะไปควบคุมธรรมชาติ”
น่าสนใจมากว่านิยายส่วนมาก รวมถึงนิยาย “รักโลก” ทั้งหลายนั้นมองว่า มนุษย์คือศูนย์กลางของทุกอย่าง มนุษย์นี่ล่ะที่มีอำนาจที่จะทำลายหรือรักษาโลกนี้ไว้ได้ เช่นเรื่อง The Day the Earth Stood Still เป็นต้น
Jurassic Park กำลังบอกเราอีกอย่าง ที่สำคัญคือมันบอกว่าเราเป็น “ไอ้ขี้โม้” เพียงใดเมื่อเราพยายามบอกว่าเราจะรักษาโลกใบนี้
โลกใบนี้ผ่านอะไรมามากมายกว่าสิ่งที่เราเห็นตรงหน้านี้มากมายนัก โลกใบนี้เองเคยผ่านช่วงเวลาที่ไม่มีออกซิเจนในอากาศ และช่วงเวลาที่ออกซิเจนสูงกว่าปัจจุบันเกือบเท่าตัว หรือประมาณ 35% ในยุคไดโนเสาร์ และเป็นเหตุผลว่าทำไมสัตว์ในยุคนั้นถึงตัวใหญ่กันนัก โลกผ่านช่วงเวลาที่ร้อนระอุ ผ่านยุคน้ำแข็งที่ทำลายสายพันธุ์นับล้านๆ ชนิด
แล้วโลกก็ยังเดินหน้าต่อไป…
ในขณะที่เราเริ่มโวยวายกับปริมาณคาร์บอนที่เพิ่มขึ้นสักสองเท่าตัวในช่วงไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ของโลก กับประวัติศาสตร์ของ Homo Sapien ที่มีมาไม่เกินสองล้านปี กับประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่มีแค่สองหมื่นปี
แล้วเราก็คิดว่าเรารู้ไปซะทั้งหมด เราคิดว่าเราเป็นผู้พิทักษ์
เปล่าหรอก เราไม่ได้เป็นผู้พิทักษ์อะไรเลย เราแค่อยากให้โลกอยู่ในสภาวะที่เหมาะกับ “เรา” ก็เท่านั้น
เรารักษาระดับออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ก็เพราะมันเป็นระดับที่เหมาะกับ “เรา” เรารักษาความหลากหลายทางชีวิภาพเพราะเรารู้ว่าเราอยู่สปีชีส์เดียวในโลก “ไม่รอด”
เราไม่ได้รักษาโลกหรอก เราแค่รักษาตัวเราเองก็เท่านั้น