เป็นประเด็นหลุดออกมาจาก Pantip ไม่วายที่ Blognone จะร่วมแจม (อยู่ใน Blognone เอง)
ผมเขียนเรื่องนี้ไปทีนึงใน twitter แต่ดูเหมือน 140 ตัวอักษรจะไม่พอสร้างความไม่เข้าใจได้เยอะ เอาเขียนใหม่อีกรอบ
สรุปในบรรทัดเดียว __”ผมไม่เห็นด้วยกับการบังคับใช้ Word ในการทำเล่มวิทยานิพนธ์”__
MS Word เป็นเครื่องมือที่แย่มาก จนผมไม่เชื่อว่าจะมากเกินไปที่จะเรียกว่าเข้าขั้น “บัดซบ” เมื่อพบกับฟอร์แมตที่หนาแน่นจนไม่น่าเชื่ออย่างเล่มจบของบัณฑิตวิทยาลัย อย่างน้อยก็ของเกษตรศาสตร์
คุณเทพเขียนเรื่องนี้ไว้ละเอียดกว่ามาก โดยสรุป เครื่องมือ WYSIWYG อย่าง Word นั้นสร้างความสะดวกที่นำปัญหามาอย่างหนักเมื่อรูปแบบเอกสารมีรายละเอียดมากๆ เครื่องมือเช่นที่เป็น markup นั้นตอบสนองได้ดีกว่า แต่แลกมาด้วยการเรียนรู้ในช่วงแรกที่ยากกว่า
อันนี้ไม่พูดถึงว่ากฏเหล่านั้นมัน “เข้าท่า” หรือไม่นะครับ แอบถือซะว่ามันเข้าท่า และเอกสารควรเป็นตามกฏไปก่อนแล้วกัน
แต่ผมไม่ได้สนใจประเด็นเช่นนั้นนัก
มหาวิทยาลัยเลือกเครื่องมือที่ผิด เป็นเรื่องแย่ ไม่ใช่เรื่องผิด ม.เกษตรเอง อย่างน้อยในสมัยที่ผมเรียนอยู่ ก็มีความพยายามจะจัดหา MS Office ให้ใช้กันอย่างทั่วถึง ตอนนี้เข้าใจว่ามีปัญหาอยู่ แต่ก็น่าจะกำลังแก้ไขกัน
ถ้าเป็น ม. เอกชนอื่นๆ การกำหนดให้ MS Office เป็นเครื่องอุปกรณ์การเรียนภาคบังคับก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด
อาจะไม่เหมาะสมกับบางงาน อาจจะใช้ลำบากกับบางกรณี แต่ไม่ผิด
แต่ มก. ที่เป็นเรื่องนั้น เป็นหน่วยงาน “รัฐ”
ผมเชื่อว่าในฐานะความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐนั้นเอง มก. และหน่วยงานรัฐอื่นๆ ที่หน้าที่สำคัญที่จะระวังไม่ให้การติดต่อใดๆ มีการบีบบังคับให้ใช้สินค้าของเอกชนรายใดรายหนึ่ง เพราะมันจะเอื้อให้เกิดการผูกขาดในท้ายที่สุด
ผมไม่สนใจว่ากติกาจะเปิดโอกาสให้โอเพนซอร์สหรือไม่ ในความคิดผมแล้ว โอเพนซอร์สก็เป็นสินค้าจากเอกชนเช่นกัน ประเด็นของกติกาคือมันต้องไม่บังคับให้คนทั้งหมด ไปอิงแอบกับสินค้าใดๆ เพียงเท่านั้น
ดังนั้นแล้วต่อให้เปิดให้ใช้ PDF, OO.o หรือ LaTeX แต่ถ้ายังบังคับใช้ Angsana อยู่ ผมก็ไม่ได้คิดว่าอะไรมันดีขึ้นตรงไหน
การเอื้อให้มีการแข่งขันได้อย่างสมบูรณ์ต้องไม่มีจุดที่บีบให้ไปหาผู้ขายรายเดียว เช่น
– ไฟล์ .doc หรือ PDF
– ฟอนต์ Angsana หรือ DBthai
ฟอนต์อาจจะต้องใช้ไมโครซอฟท์ หรือซื้อฟอนต์ต่างหาก อาจจะไม่ใช่ของฟรี ไฟล์ PDF อาจจะสร้างจาก Word 2007 ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
สำคัญที่เรามือทางเลือก ไม่มีใครควบคุมเราได้ทั้งหมด เราเลือกอีกทางได้หากเราอยากจะเลือก
ความเห็นของผมเอง ผมคิดว่าเป็นเรื่องของ การต่อสู้กันระหว่าง รูปแบบ และเนื้อหา อย่างที่มีการพูดถึงกันบ่อย ๆ ครับ
ตราบใดที่คนตั้งกฎเกณฑ์ยังให้ความสำคัญกับ รูปแบบมากกว่า เราคงไม่ได้เห็นการพัฒนาทางด้านเนื้อหาอย่างที่ควรจะเป็น
ต้องเปลี่ยนความคิดให้ได้ครับ โดยเฉพาะงานทางด้านวิทยาศาสตร์ เนื้อหา สำคัญกว่ารูปแบบ
เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ
มีแต่คนบอกว่า word ดีอย่างนู้นดีอย่างนี้ ตอนผมทำโปรเจคจบ ไม่เห็นมีใครมานั่งทำ table of content อัตโนมัติซะคน นั่งพิมพ์มือ ใส่เลขหน้าเอง ไม่มีทำแบ่ง section
แล้วอย่างนี้มันเป็นแบบแผนตรงไหนละครับ
ที่ผมเห็นว่าดีที่สุด คงเป็น LaTeX ละครับ ที่พอเราทำ markup แล้วมันจัดให้เราทุกอย่างเลย
ปล. KMITL รับแต่ไฟล์ PDF ครับ ไม่สนใจว่าจะออกมาโดยโปรแกรมอะไร … แต่ผมต้องจำใจใช้ word เพราะ “เพ่ื่อนมันใช้” ครับ :(
อ้าว มันไม่ได้ฟรีหรอเนี่ย!!!! :P
ใครๆ ก็เห็นว่า ฟ้อนท์นี้ฟรี โปรแกรมเวิร์ดก็ฟรี คอมพิวเตอร์ก็ฟรี นะคร้าบบบบ (สติปัญญาก็อาจจะฟรีด้วย) ดังนั้น ฟรีแล้ว ทุกคนก็ใช้ได้แล้ว จะต้องมาเป็น Open Format อะไรกันอีก :P
จะให้ผู้บริหารองค์กรรัฐ มีระดับความเข้าใจสูงขนาดเข้าใจว่า ของที่ขโมยมากันเป็นปกตินั้นมีค่าใช้จ่ายอยู่ เนี่ย เป็นความกล้าหาญและพยายามอย่างยิ่ง ขอคารวะคุณลิ่วและคุณเทพ
@Sikachu!
ที่ว่ามา ผมทำหมดเลย TOC/section/style ใช้แล้วชีวิตสบายขึ้นสุดๆ ฮะๆ
@wiennat
ผมก็ใช้นะ และสบายขึ้นมากจริงๆ
แต่ formatting ของเล่มจบนี่ ผมว่ามันเกินความสามารถ (ในด้านการทำ template) ของ Word ไปมาก ประเภทว่าชื่อกับนามสกุลต้องเว้น 2 วรรค (!!!) การคั่นด้วย “;” ในตำแหน่งต่างๆ หรือการจัดรูปแบบ citation ในรูปแบบของมหาวิทยาลัย (ที่ดูจะไม่อิงกับมาตรฐานใดในโลก)
อีกประการคือ WYSIWYG นี่มันหลอกผมได้บ่อยครั้งว่าทำบางอย่างถูกต้องแล้ว โดยเฉพาะการ Anchor รูป ทำไห้เวลาหน้าเลื่อน แม้จะพยายามทำตามรูปแบบอย่างที่สุด ก็ไม่วายต้องตรวจใหม่ทั้งเล่ม
ฮะฮะ ส่งตีพิมพ์ journal ต่างประเทศบางทีก็โดนบังคับ format บางอย่างอยู่ดีแหละ ปัญหานี้่ไม่ได้เป็นประเทศเดียว :D
@pawinpawin
มันมีเครื่องมือที่เหมาะสม รองรับทั้ง Word OO.o และ PDF แถม Template ที่ให้ยังใช้ง่าย (กว่าเล่มจบมากๆๆ)
มันมีงานก็มีปัญหาแหละ แต่จำกัดปัญหาได้ดี ได้เหมาะสมรึเปล่านี่อีกเรื่องนึง