หนึ่งในหนังสือท่ผมซื้อมาจากคิโนะฯ ในช่วงหลังๆ นี้คือ Jurassic Park โดยจริงๆ แล้วตั้งใจว่าอ่านหนังสือของ Micheal Crichton ให้หมด
ในหนังเรื่องเดียวกันนั้น เราจะเห็นความยิ่งใหญ่ แต่นแต๊น โอ้โน่นไดโนเสาร์ อะไรอย่างนั้น แต่ในนิยายนั้นเป็นอีกมุมมองหนึ่งที่ว่าด้วยการที่มนุษย์พยายามจะเป็นพระเจ้า
ในหนังนั้นเอียน มัลคอม เป็นเพียงนักคณิตศาสตร์ที่ทำตัวแปลกๆ หน่อย (ออกจะหน้าม่อด้วย..) แต่ในนิยายนั้นเขาคือตัวเดิน “แนวคิด” ทั้งหมดของเรื่อง
คำถามของนิยายไม่ใช่ว่า “จะยิ่งใหญ่แค่ไหนถ้าเรานำไดโนเสาร์กลับมาได้?” แต่เป็นว่า “เรานั้นมันเล็กน้อยแค่ไหน และเราอวดตัวมากเพียงใดที่จะไปควบคุมธรรมชาติ”
น่าสนใจมากว่านิยายส่วนมาก รวมถึงนิยาย “รักโลก” ทั้งหลายนั้นมองว่า มนุษย์คือศูนย์กลางของทุกอย่าง มนุษย์นี่ล่ะที่มีอำนาจที่จะทำลายหรือรักษาโลกนี้ไว้ได้ เช่นเรื่อง The Day the Earth Stood Still เป็นต้น
Jurassic Park กำลังบอกเราอีกอย่าง ที่สำคัญคือมันบอกว่าเราเป็น “ไอ้ขี้โม้” เพียงใดเมื่อเราพยายามบอกว่าเราจะรักษาโลกใบนี้
โลกใบนี้ผ่านอะไรมามากมายกว่าสิ่งที่เราเห็นตรงหน้านี้มากมายนัก โลกใบนี้เองเคยผ่านช่วงเวลาที่ไม่มีออกซิเจนในอากาศ และช่วงเวลาที่ออกซิเจนสูงกว่าปัจจุบันเกือบเท่าตัว หรือประมาณ 35% ในยุคไดโนเสาร์ และเป็นเหตุผลว่าทำไมสัตว์ในยุคนั้นถึงตัวใหญ่กันนัก โลกผ่านช่วงเวลาที่ร้อนระอุ ผ่านยุคน้ำแข็งที่ทำลายสายพันธุ์นับล้านๆ ชนิด
แล้วโลกก็ยังเดินหน้าต่อไป…
ในขณะที่เราเริ่มโวยวายกับปริมาณคาร์บอนที่เพิ่มขึ้นสักสองเท่าตัวในช่วงไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ของโลก กับประวัติศาสตร์ของ Homo Sapien ที่มีมาไม่เกินสองล้านปี กับประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่มีแค่สองหมื่นปี
แล้วเราก็คิดว่าเรารู้ไปซะทั้งหมด เราคิดว่าเราเป็นผู้พิทักษ์
เปล่าหรอก เราไม่ได้เป็นผู้พิทักษ์อะไรเลย เราแค่อยากให้โลกอยู่ในสภาวะที่เหมาะกับ “เรา” ก็เท่านั้น
เรารักษาระดับออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ก็เพราะมันเป็นระดับที่เหมาะกับ “เรา” เรารักษาความหลากหลายทางชีวิภาพเพราะเรารู้ว่าเราอยู่สปีชีส์เดียวในโลก “ไม่รอด”
เราไม่ได้รักษาโลกหรอก เราแค่รักษาตัวเราเองก็เท่านั้น
“เราไม่ได้รักษาโลกหรอก เราแค่รักษาตัวเราเองก็เท่านั้น”
ใช่ ที่เราทำทุกสิ่ง ๆ ทุก ๆ อย่าง ก็เพื่อเหตุนี้แหละ มันไม่มีเหตุผลอะไรเลย หากไม่ใช่เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปภายหน้าได้
คนที่อยู่อย่างสิ้นหวัง คนที่มองไม่เห็นหนทางข้างหน้า ก็เลยมักจะเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองลงเสีย
แม้จะพูดให้ดูดีสักแค่ไหน มันก็แค่การเห็นแก่ตัว การที่จะเอาตัวรอดนั่นแหละ
ปล. อย่ามองโลกในแง่ร้ายมากนัก ;)
+1 โดนใจ
ถ้ามองในมุมมองของทฤษฎีวิวัฒนาการ นี่ก็คือจุดแข็งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ครับ ทั้งความสามารถในการปรับตัว และความต้องการในการมีชีวิตรอด และการดำรงเผ่าพันธุ์ทำให้ต้องมีการเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจ ปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม ให้เข้ากับตัวเอง และปรับตัวเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมครับ
Jurassic Park เป็นหนังสือที่คิดว่าจะอ่านมานาน ได้อ่านบล็อกนี้แล้ว คงต้องรีบกลับไปอ่านแล้วครับ
+1 หลังจากซุ่มมานาน
เคยอ่านทั้ง Jurassic Park และ The Lost World มาแล้วครับ ทำเอาดูหนังไม่สนุกไปเลยแหละ แต่ตอนนั้นก็นานมากแล้ว ได้อ่าน blog นี้ช่วยฟื้นความจำได้
ประเด็นหลักที่ Chrichton ใช้เดินเรื่อง คือการอธิบายการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ด้วยทฤษฎี chaos และ complex system โดยเสนอว่า ไม่ต้องมีดาวหางชนโลกอะไรนั่นหรอก แค่ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไป มีสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ ๆ เกิดขึ้น ก็ทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์ใน complex system ได้แล้ว และที่ the edge of chaos นั้นแหละ ที่การเปลี่ยนแปลงฉับพลันจะเกิดขึ้นอย่างหยุดไม่อยู่ สปีชีส์ที่อยู่รอดได้ คือสปีชีส์ที่กลับเข้าสู่เขต convergence ได้
ทฤษฎี chaos บอกเราว่า ธรรมชาติสามารถก่อเกิดสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราคาดคิด เป็น complex system ที่สามารถดำเนินไปได้ด้วยตัวของมันเอง จัดการตัวเองได้ และมนุษย์ก็เป็นแค่ agent หนึ่งในระบบนั้น
นิยายของ Chrichton ทำให้ผมเสาะหาหนังสือเกี่ยวกับ chaotic system และ complex system มาอ่านต่อจากนิยายเลย ดูเหมือนช่วงนั้น Fritjov Capra จะเขียนหนังสือ The Web of Life ออกมาไล่เลี่ยกันพอดี
ปล. ลืมบอก.. ว่าผมไปอ่านเล่มอื่นอยู่ครับ The Web of Life จนป่านนี้ยังไม่ได้เปิดเลย :P
@mementototem @zybernav ผมไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับการเห็นแก่ตัวแบบนี้นักนะครับ ส่วนตัวแล้วผมว่าการเห็นแก่ตัวก็ไม่ใช่เรื่องดี แต่มันไม่ใช่อะไรที่เราจะตกใจตื่นเต้นกับมัน
@thep หนังสืออีกเล่มที่ผมอ่านแล้วชอบมากในช่วงหลังคือ A Short History of Nearly Everything ครับ อันนี้ไม่เจาะเรื่องชีวะเท่าใหร่ แต่ไล่ยาวตั้งแต่ฟิสิกส์เรื่อยมา
เรื่องนี้ทำให้ผมพบช่องโหว่ของ Jurassic Park ที่ใหญ่มากคือในระดับออกซิเจนปัจจุบัน ไดโนเสาร์มันน่าจะเหนื่อยตลอดเวลา ไม่น่าจะทำอะไรเร็วๆ แบบในหนังได้เลย
จงอ่าน The Lost World แล้วจะรู้ซึ้งว่าหนังมันห่วยบัดซบแค่ไหน
สุดยอดครับ! ไว้ถ้ามีโอกาส จะไปหามาอ่านบ้าง