นานมาแล้วผมเคยไปยืนอ่านหนังสือฟรีในร้านหนังสือแถวโบสถ์
หนังสือเล่มนั้นเป็นรวมเรื่องสั้นที่เนื้อหาค่อนข้างหนัก ผมอ่านไปได้แค่เรื่องเดียวแล้วก็พบว่าตัวเองคงไม่อยากอ่านหนังสือแนวนี้เท่าใหร่เลยหยุดอ่านไว้แค่เรื่องเดียวที่ลองอ่านนั่นล่ะ
เนื้อเรื่องของเรื่องสั้นเรื่องนั้นพูดถึงครอบครัวหนึ่งที่มีโอกาสได้ไปช่วยเหลือหญิงท้องแก่ที่ขาดที่พึ่งด้วยการรับมาอยู่ในบ้าน
เวลาผ่านไป หญิงสาวคนนั้นดูเหมือนจะมีชีวิตที่สบายเกินไปในสายตาของสมาชิกครอบครัว ทุกคนเริ่มอึดอัดใจที่ต้องช่วยเหลือหญิงคนนี้ พวกเขาเริ่มกดดันให้หญิงคนนี้ต้องทำงาน และกดดันจากสายตาและความรู้สึก
เรื่องราวจบลงที่หญิงคนนั้นทำงานจนกระทั่งลูกคลอดออกมาระหว่างทำงาน และครอบครัวก็ตาสว่างขึ้นมาว่าพวกเขาไม่ได้อยากช่วยให้หญิงคนนี้มีชีวิตที่ดีกว่าเดิมเลย
พวกเขาแค่อยากให้มีคนที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามาอยู่ในบ้านเพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองนั้นสูงขึ้นสักหน่อย และพวกเขาอยากให้มันเป็นอย่างนั้นตลอดไป
ผมนึกถึงสังคมไทยในตอนนี้แล้วสังเวชกับความคิดของชนชั้น “ปัญญาชน” จำนวนมาก นานมาแล้วที่เรามองภาพว่าคนต่างจังหวัดขาดโอกาส เราสร้างภาพว่าเราอยากช่วยเหลือเขา ด้วยการออกไปสอนหนังสือเด็กกันปีละสามสี่วัน กับสร้างศาลาที่ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรให้หมู่บ้านละหลัง
แล้วเราก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองว่าเรานี่ช่างสูงส่งเสียจริงที่เราได้ช่วยเขาถึงเพียงนี้
มาวันนี้คนต่างจังหวัดเหล่านี้แหละ ที่เราบอกนักหนาว่าเขาควรได้รับโอกาสต่างๆ นาๆ เริ่มมีเสียงในสังคม
เรากลับลำกันทุกอย่าง ด้วยการดูถูกพวกเขาว่าโง่ และควรถูกกดให้อยู่ในระดับต่ำกว่าเช่นนั้นต่อไป พวกเขาไม่ควรมีสิทธิ์มีเสียงอะไร
เราอยากให้พวกเขารับการ “บริจาค” จากเราตลอดไป
แล้วเราก็รู้สึกว่าเราเป็นคนดีเสียจริง
ชอบบทความนี้มากที่สุดใน blog แล้วครับ
ความจริงที่เจ็บปวดและอันตราย…
เป็นความจริงที่ไม่เคยคิดจากมุมนี้มาก่อนค่ะ ขอบคุณที่เขียนอะไรดีๆให้อ่านนะคะ (ดีๆไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่ดีต่อเราเสมอไป…)
!!!
ไม่เคยจะหันมามองความจริงข้อนี้เลย
ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง เราอาจอยากให้เขาดีขึ้น แต่ก็พบว่าอาจไม่อยากให้เขาดีไปกว่าเรา แต่เราก็อยากให้เขาดีกว่าที่เป็นอยู่ และเขาก็ดีกว่าที่เคยเป็นอยู่จริง ๆ เราได้พบข้อจำกัดของตัวเองในความรู้สึก เขาได้พบโอกาสที่เปิดให้มากขึ้น ทุกคนได้มีการเรียนรู้ ได้มีการเปลี่ยนแปลง ทางออกกลับเป็นไปได้หลายแบบ
ทุกทุกอย่างไม่ได้มีทางออกทางเดียว เป็นไปได้หลายรูปแบบ เราเองนั่นแหล่ะเป็นคนชี้ ถ้าเราชี้ไปที่ไม่ดีมันก็ออกไปไม่ดี ถ้าเราชี้ไปที่ดีมันก็ออกไปดี
จริงหรือที่ เราอยากให้พวกเขารับการ “บริจาค” จากเราตลอดไป
ตอบคุณวี: ผมเขียนบทความนี้ในบริบทของคนกรุง ในยุคที่เสียง “คนกรุงคือปัญญาชน” กำลังเฟื่องฟู คำว่า “รากหญ้า” และ “ประชานิยม” กลายเป็นสิ่งน่ารังเกียจ
แน่นอนว่าจากประชากรนับล้านๆ ของเมืองไทย คนนับล้าน (นับเอาจากที่จบปริญญาตรีก็ได้) เป็นคนชั้นกลาง-สูง ไม่ได้คิดแบบเดียวกันหมด
สุดท้ายแล้วทางออกไม่ได้มีทางเดียวแน่นอน
แต่ผมกำลังเขียนถึงคนที่คิดอย่างใจแคบเช่นนี้ และยังคงคิดอยู่ในตอนนี้ ถ้าปรับจิดใจกันได้แล้ว ผมก็ยินดีด้วยครับ
ส่วนเรื่องที่ว่าคนฝั่งรับเขาโกรธหรือไม่ จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องที่ผมสนใจเลย ในเรื่องเองก็ไม่พูดถึงเลย สิ่งที่ผมกำลังเขียนถึงคือความจริงใจของผู้ที่เต็มไปด้วยโอกาสอย่างคนกรุงเทพต่างหาก ว่าเรามีความจริงใจกับ “เพื่อนร่วมชาติ” ของเราแค่ไหนกัน เรายินดีที่จะเปิดโอกาสให้พวกเขาแค่ไหน เรายอมรับจริงๆ รึเปล่าว่าเขาก็เป็นประชาชนเท่าๆ กับเรา
ผมเชื่อว่ามันไม่จริงสำหรับคนจำนวนมาก
นี่ไม่ต้องพูดถึงมุมที่กว้างกว่านั้นเช่นเพื่อนร่วมโลก ที่วันนี้เรายังเอาชื่อประเทศอื่นๆ มาเป็นคำดูถูกกันอยู่เลย