ซีรี่ย์ที่เพิ่งดูจบไปสองเรื่องล่าสุดคือ Taken กับ 24
24 เป็นเรื่องราว 24 ชั่วโมงของครอบครัวหนึ่งที่ต้องเจอกับวันที่ยาวนานที่สุดในชีวิต
Taken เป็นเรื่องราวกว่า 50 ปี นับได้สามชั่วอายุคนของสามครอบครัวที่ต้องเกี่ยวเนื่องกับมนุษย์ต่างดาว
สองเรื่องนี้ไม่มีอะไรต่างกัน นอกจากว่าผมคงไม่มีวันดูเรื่องที่สอง ถ้าไม่ใช่ว่าสปีลเบิร์กเป็นคนสร้าง
Taken เป็นเรื่องที่ราบเรียบ เล่าถึงประสบการณ์ผ่านทางเสียงของเด็กน้อยคนหนึ่งชื่อ แอลลี่ ตลอดเรื่องคำคมนับร้อยที่น่านำไปคิด
ใครรู้จักผมดีคงรู้ว่าผมไมใช่คนจะดูหนังอย่างนี้
การที่ผมได้ดูหนังเรื่องนี้ นอกจากคำคมเปลี่ยวๆ ที่เอามาลงบล็อกแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่น่าสนใจ คือ เมื่อคนเราดังระดับสปีลเบิร์ก คนที่เลือกดูแต่หนังทริลเลอร์อย่างผมก็ถูกลากมาดูหนังที่สปีลเบิร์กต้องการอยากให้คนดูได้
ขณะที่เรารู้จักเขาจากหนังอย่าง E.T., Saving Private Ryan หรือ Jurassic Park แต่ด้วยความดังอย่างเขา ทำให้เขาสามารถสร้างหนังแสดงอุดมการณ์ส่วนตัวอย่าง Schnidler’s List หรือ Munich ตลอดจนหนังที่แหวกแนวออกไปอย่าง Taken นี้ได้
โดยใช้ทุนสร้างสูง… และโดยเฉพาะ คนดูเยอะมหาศาล
นอกจากเรื่องทางด้านศีลธรรมแล้ว ผมเชื่อว่าอุดมการณ์หลายๆ อย่างในตัวเราควรถูกรักษาไว้โดยตระหนักถึงการเผยแพร่อุดมการณ์นั้นออกไป มากกว่าจะมุ่งแต่รักษาอุดมการณ์อย่้างเดีัยวโดยสุดท้ายต้องอ้างว้างในสังคม
ในความเป็นจริงคือการโอนอ่อนให้กับสังคมและตลาดบางส่วน เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เรากลายเป็นผู้ชี้ทางตลาด ชี้นำสังคม
หากไม่มี หนังทำเงินจำนวนมาก คงไม่มีใครให้เงินทำซีรี่ย์อย่าง Taken นี้กับสปีลเบิร์ก
ความคิดของเขาอาจจะถูกดองไว้ในลิ้นชักของค่ายหนังสักค่้าย
ค่ายหนังเล็กๆ บางค่ายอาจจะยอมลงทุนให้เขา
ผลงานของเขาอาจจะไม่ดีเท่านี้ ด้วยความที่งบประมาณจำกัด
หรือให้ออกมาดี มันอาจจะไม่มีชื่อพอให้เราไ้ด้มีโอกาสดูกันทั่วไป