เรื่องหนึ่งที่เราเจอกันในการถกเถียงเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์คือ เรื่องของอุปกรณ์การทำสำเนาอย่างเครื่องเขียนซีดี เครื่องถ่ายเอกสาร ไปจนถึงกล้องวีดีโอ
เรื่องที่ถกกันคือ เครื่องทำสำเนาพวกนี้เป็นต้นตอของการละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่ ด้านเ้จ้าของลิขสิทธิ์มักระบุเสมอๆ ว่าหากไม่มีเครื่องทำสำเนาเหล่านี้เกลื่อนกลาด การละเมิดลิขสิทธิ์ก็คงไม่มากเท่านี้
ด้านผู้บริโภคก็ป้องกันตัวเองด้วยว่าในเมื่อซื้อลิขสิทธิ์มาแล้ว จะเอาไปฟังยังไงมันก็เรื่องของเรา ผมเองซื้อซีดีของแท้มาซักแผ่น ก็มักจะก๊อปเก็บเอาไว้เสมอๆ โดยเฉพาะแผ่น Bakery/LoveIs ที่ต้องก็อปเอาของก็อปไปใส่กล่องจริง แล้วเอาแผ่นจริงไปใส่กล่องเก็บซีดีจริงๆ เพราะใส่อย่างที่ซื้อมาแล้วมันเป็นรอย -_-”
เรื่องอย่างนี้มันเหมือนไข่กับไก่ ที่เถียงกันไปกันมา มันก็จริงกันทั้งคู่
ล่าสุดด้านผู้ผลิตลงมติให้เครื่องบันทึกทั้งหลายต้องเข้ามาตรฐานการไม่บันทึกข้อมูลที่ระบุไว้ในตัวว่าห้ามทำสำเนา อาจจะฟังดูแปลกๆ แต่เป็นเรืองจริงคือในไม่กี่ปีข้างหน้า เครืื่องบันทึกซีดีของคุณจะอ่านข้อมูลในซีดีว่ามันยอมให้ทำสำเนารึเปล่า มันถึงจะก็อปต่อไปได้ เรื่องที่เจ็บปวดกว่านั้นคือเครื่องบันทึกทุกประเภทจะต้องเข้ามาตรฐานนี้หมด โดยอาจจะรวมถึงเครื่องบันทึกอนาล็อก หมายความว่าต่อให้คุณเอาไมค์จ่อลำโพง ถ้าเพลงมันห้ามก็อป ไมค์คุณก็อัดไม่ิติด…
เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงพ่อแม่ที่ห้ามไม่ให้ลูกเล่นเกม หรือดูการ์ตูน เพราะเชื่อว่ามันเป็นต้นตอของความชั่วร้าย ความเกียจคร้าน ฯลฯ
มีดทำครัวเอาฆ่าคน ก็มีคนตาย แต่ถ้าเอาไปทำอาหาร มันทำให้คนรอดตายเพราะมีข้าวกิน
เช่นกัน ผมเชื่อว่ามันมีวิธีอีกมหาศาลที่ทำให้คนใช้เครื่องทำสำ้เนาในทางที่ดีพร้อมๆ เช่นเดียวกันกับการดูการ์ตูนและเล่นเกมให้ได้ประโยชน์
ขณะที่เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า mp3 และเครื่องไรต์ซีดีีที่เป็นจุดกำเนิดของเครื่องการละเมิดลิขสิทธิ์กันมหาศาลนั่นเอง ที่เป็นตัวจุดประกายของธุรกิจพันล้านอย่าง iTunes หรือในเมืองไทยเองก็ได้อนิสงค์ จากการขยายตัวของตลาดซีดีที่ส่วนต่างกำไรสูงกว่ามาก
วันนี้ืที่ไมโครซอฟท์ฺไม่เอาจริงกับการละเมิดลิขสิทธิ์ ผมเชื่อว่าไมโครซอฟท์ก็รู้ตัวดีว่าคนละเมิดลิขสิทธิ์ไม่ใช่คนที่ยินดีจ่ายเงินให้ไมโครซอฟท์อยู่ีแล้ว การไปบีบคนกลุ่มนี้มากๆ ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยนอกจากการที่คู่แข่งอย่างลินิกซ์จะเติบโตขึ้นมาในตลาด
ตรงกันข้าม หากมีทางออกที่ดีกว่า มันให้ผลที่ทั้งสองฝ่ายพอใจได้เสมอ
ในวันนี้ที่ซีดีเพลงแกรมมี่ขายกันได้แผ่นละ 120 มันทำให้ผมมีความสุขเพราะซื้อได้สบายใจ แกรมมี่มีความสุขเพราะได้เงินผม
NOD32 ขายกันปีละ 249 บาท ผมมีความสุขเพราะได้ใช้อย่างสบายใจ ผู้ผลิตมีความสุขเพราะได้เงิน
สมัยผมเป็นเด็กๆ ผมได้ดูการ์ตูนโดยแลกกับการที่มันเป็น Sub-Eng เมื่อสิบห้าปีก่อนสมัยเป็นแผ่น LD ตราบใดมันไม่เป็นซับไทย ข้อแลกเปลี่ยนระหว่างผมกับพ่อคือการที่ผมได้ดูการ์ตูน และพ่อผมได้เห็นผมเรียนภาษา
แม่ผมซื้อโดเรมอนให้หลังฉีดวัคซีน แม่ไม่ต้องฟังผมแหกปากหลังฉีดยา ผมไม่ต้องเจ็บตัวฟรี….
ทุกอย่างมันมีทางออก มีทางที่ลงตัว มันยากกว่าการตอบรับหรือปฏิเสธกันดื้อๆ แต่มันให้ผลที่คุ้มค่าเสมอ
ขึ้นอยู่กับเราว่าจะลงทุนหรือไม่เท่านั้นเอง
ร้องขอให้พ่อซื้อสินค้าชิ้นหนึ่งให้
พ่อถามว่า ประโยชน์ที่ได้รับคืออะไร คุ้มกับค่าเงินที่เสียไปหรือไม่
ผมพยายามหาคำตอบ ถกเถียงกันเป็นชั่วโมง
สุดท้าย ก็ตอบไม่ได้ ก็ไม่ได้ของนั้น