วันก่อนได้กินข้าวกับคนไทยในซานฟราน มีประเด็นนึงบนโต๊ะอาหารที่คุยกันคือรถอัตโนมัติจะส่งผลกระทบแค่ไหน
- เบื้องต้นแน่ๆ คือคนจะซื้อรถน้อยลง เพราะรถสามารถออกไปให้บริการได้มากขึ้น แบบเดียวกับทุกวันนี้ที่ Uber ใช้เวลาว่างของคนขับ+เวลาว่างของรถ
- แนวคิดของ Elon Musk ที่บอกว่าเจ้าของรถจะปล่อยรถออกไปทำงานได้เป็นแค่ระดับแรก
- ต่อไปบริษัทรถ หรือบริษัทแท็กซี่ขนาดใหญ่ เช่น Uber จะซื้อรถเอง มีรถในมือทีละนับหมื่นคัน
- อัตราการใช้งานรถเหล่านี้จะสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ทุกวันนี้เรามีรถส่วนตัว อาจจะขับคนเดียว วันละ 2 ชั่วโมง รวมๆ ซ่อมบำรุงบ้าง วันหยุดบ้าง เวลาใช้งานรวมๆ ปีหนึ่งอาจจะไม่ถึง 300 ชั่วโมง
- บริษัทแท็กซี่เหล่านี้จะใช้รถตลอด 24 ชั่วโมง ซ่อมบำรุงเมื่อจำเป็น (ล้าง, ทำความสะอาด, เช็คระยะ, ซ่อม) แต่รวมๆ เวลาที่รถทำงานน่าจะสูงขึ้น อาจจะบอกได้ว่าแต่ละวันมันทำงาน 20 ชั่วโมง แต่ละปีทำงาน 7,300 ชั่วโมง ตัดเวลารถวิ่งเปล่า เหลือเวลาสร้างประโยชน์จริงอาจจะ 3,000-4,000 ชั่วโมง
- บริการอย่าง UberPOOL จะยิ่งทำให้รถเหล่านี้มี utilization สูงขึ้น ช่วงเวลาที่มันทำงาน ปริมาณคนที่รถเหล่านี้ขนโดยเฉลี่ยจะสูงกว่ารถส่วนตัวอีกเป็นเท่าตัว ที่นั่ง “ผู้โดยสาร” มีสี่ที่นั่งแทนที่จะเป็นสาม เฉลี่ยๆ ตลอดเวลาทำงานมันคนขนได้เฉลี่ยสองคน จะเป็น 6,000-8,000 คน-ชั่วโมง ต่อปี
- ด้วยประสิทธิภาพการใช้รถสูงขนาดนี้ ต้นทุนรถจะถูกลงอย่างมาก ค่าแท็กซี่โดยรวมจะถูกลงจนอาจจะชนะแม้แต่ขนส่งมวลชน คนจะชินกับการเรียกรถเมื่อไหร่ก็มา
- ถึงตอนนั้น Uber จะมีตัวคูณไหม? เพราะตัวคูณคือแรงจูงใจเรียกรถให้เข้าไปในพื้นที่ขาดแคลน แต่เมื่อเป็นรถอัตโนมัติ ระบบจัดการจะจัดการจากศูนย์กลางทั้งหมด เหตุการณ์รถขาดแคลนกลายเป็นเหตุการณ์ทั้งโซน (กรุงเทพ, เชียงใหม่) ไม่ใช่เหตุการณ์เฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของโซน ถ้าไม่มีตัวคูณ ทุกอย่างก็ยิ่งสะดวก
- พอคนไม่มีรถ สิ่งที่จะหายต่อไปคือ “ที่จอดรถ” บ้านไม่จำเป็นต้องมีที่จอดรถ คอนโด อาคารสำนักงานมีแค่จุดรับส่งก็เพียงพอ ไม่มีต้องมีที่จอดใหญ่ๆ อีกต่อไป
- ประสิทธิภาพพื้นที่ใช้งานอาคารรวมจะสูงขึ้น บ้านอาจจะถูกลง ห้องเยอะขึ้น คอนโดโดยทั่วไปถูกลง
- เจ้าของรถอย่างบริษัทแท็กซี่จะสามารถสร้างที่จอดรถขนาดยักษณ์ ประสิทธิภาพสูง อาคารจอดรถที่ไม่มีถนนคั่นกลาง พื้นที่ทุกตารางเมตรถูกใช้จอดทั้งหมด ทางขึ้นทางลงเป็นทางเดียวกัน ไม่ต้องมีทางสวน เวลาจะจอดเข้าออกก็ LIFO อย่างเดียว พื้นที่ใช้สอยจะอาคารจอดรถถูกใช้จอดรถแทบทั้งหมด ไม่มีทางเดิน ไม่มีทางเข้าออกสำหรับคน ไม่มีทางระบายอากาศ แต่ละชั้นสูงกว่าตัวรถเพียงเล็กน้อยก็พอ ปริมาตรรวมๆ อาคารเกือบเท่าปริมาตรรถรวมที่จอดในอาคาร
- ปริมาณรถรวมในแต่ละเมืองจะลดลง อุตสาหกรรมผลิตรถจะอยู่ที่ไหน?? จะอยู่อย่างไรถ้าทั้งเมืองมีลูกค้าเป็นบริษัทแท็กซี่สามสี่บริษัท แต่ละบริษัทซื้อรถระดับหมื่นคันแล้ววิ่งทั้งวันทั้งคืน สร้าง economics of scale สร้างอำนาจต่อรอง สร้างบุคคลากรของตัวเอง
- ทั้งหมดนี้เป็นแค่ระดับแรก ที่รถวิ่งได้ด้วยตัวเอง ความฝันสูงสุดของรถอัตโนมัติคือการที่รถคุยกันเองในแบบที่มนุษย์ไม่มีทางทำได้
- เมื่อรถคุยกันเอง สิ่งที่มันทำได้คือการร่วมมือกันอย่างละเอียด รถแต่ละคันจะขอให้คันหน้าช่วยแจ้งว่ามีอันตรายหรือไม่ แล้ว “เกาะ” ไปกับคันหน้าอย่างที่มนุษย์ขับไม่ได้
- กระบวนการพวกนี้ไม่ต้องทำพร้อมกันทั้งหมด รถอัตโนมัติที่รองรับการสื่อสารระหว่างรถจะค้นพบกันเอง เมื่อมันพบกันเองแล้วจะเกาะกันไปเป็นขบวน นึกสภาพมีรถเก๋งสี่ห้าคันขับแนบๆ กันเป็นชุดๆ บนมอเตอร์เวย์
- รถอัตโนมัติเหล่านี้จะใช้พื้นที่ถนนอย่างมีประสิทธิภาพในแบบที่เราไม่เคยเจอ เมื่อเราขึ้นมอเตอร์เวย์แล้วขับสัก 110 เราอาจจะต้องเว้นระยะคันหน้านับร้อยเมตร รถอัตโนมัติจะขับชิดกันอย่างน่ากลัว อาจจะเว้นระยะระหว่างคันไม่ถึงกี่เมตรหรือไม่ถึงเมตร ขณะที่วิ่งด้วยความเร็วสูง
- ยิ่งรถอัตโนมัติมากขึ้นเรื่อยๆ แพ็กรถไฟของรถอัตโนมัติจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมๆ ถนนจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น อัตราการระบายรถต่อเวลาจะสูงขึ้นเรื่อยๆ
- เมื่อรถอัตโนมัติได้รับความนิยมมากขึ้น เราใช้มันเดินทางข้ามเมืองบ่อยขึ้น ทางหลวงจะถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- เราอาจจะพบว่าการขยายถนนไม่จำเป็นอีกต่อไป มอเตอร์เวย์ 8-10 เลนกลายเป็นสิ่งสิ้นเปลือง
- ถนนรวมๆ ไม่กว้างขึ้น โครงการขยายถนนหยุดชะงัก ขณะที่ถนนเดิมมีการบำรุงรักษาน้อยลง
- แค่รถอัตโนมัติเรื่องเดียวเราก็อาจจะไม่รู้แล้วว่ามันจะพาเราไปทางไหน คนขับรถที่ตกงานก่อนจะไปอยู่ที่ไหน, คนงานโรงงานรถยนตร์จะเป็นอย่างไร, แรงงานก่อสร้างที่ซ่อมบำรุงถนนจะทำอย่างไร
เป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ