ชีวิตนักอ่านของผมที่ขอบคุณที่สุดคงเป็นพ่อผมเอง มีวางนโยบาย “หนังสือคือสิ่งจำเป็น” มาโดยตลอด ผมซื้อของในห้างเกินพันครั้งแรกก็คือหนังสือ (และมองกลับไปตอนนั้นยังคิดว่าทำไมซื้อเยอะขนาดนั้น แต่ตอนนี้ผมซื้อได้เล่มเดียว) แต่อีกในช่วงเวลาก็มีนักเขียนอีกคนที่มีอิทธิพลต่อการอ่านของผมเป็นอย่างมาก
ผมพบหนังสือของเขาในร้านหนังสือระหว่างนั่งรถเมลกลับบ้านและตัดสินใจหยิบมันกลับมาเล่มหนึ่ง พบว่ามันสนุกดีและหลังจากนั้นก็ซื้อหนังสือของเขามาเรื่อยๆ แต่จุดสำคัญคงเป็นหนังสือนิยายประวัติศาสตร์ จากวิชาน่าหลับสมัยมัธยมต้น หนังสือเล่มนั้นเปิดโลกว่าประวัติศาสตร์และการเรียนรู้จากอดีตเป็นอย่างไร ผมมองวิชาประวัติศาสตร์ไปอีกแบบ อ่านหนังสือที่ดูจะอ่านยากๆ ได้มากขึ้น มุมมองที่ยังคงงงๆ แต่จากเนื้อเรื่องที่ดึงประวัติศาสตร์มาใช้อย่างก้าวกระโดดไปมา แต่ทั้งหมดก็ทำให้การอ่านหนังสือเชิงวิชาการมีความสนุกขึ้นอย่างมาก
ผมยังคงอ่านหนังสือของเขาทุกเล่ม (ทุกเล่มจริงๆ) อยู่หลายปี ซื้อหนังสือและมีโอกาสขอลายเซ็นอยู่บ้าง แม้จะไม่ใช่คนเก็บหนังสือ และโดยเฉพาะไม่ได้เป็นคน “รักษา” หนังสือเท่าใดนัก
สิ่งที่เคยจุดประกายให้ผมอ่านหนังสืออีกหมวดหนึ่งที่ผมอาจจะไม่อ่านเลยหากไม่ได้มีการจุดประกายไว้อย่างสนุกสนานและอ่านได้ง่ายก่อนหน้า กลับเริ่มถูกตั้งคำถามว่าภายใต้ความง่ายและความสนุกนั้นมันถูกเลือกอย่างจงใจ ถูกวางจังหวะและเวลามาอย่างระมัดระวัง
ถึงจุดหนึ่งผมพบว่าผมสนุกกับประวัติศาสตร์ได้เอง ผมพบว่าความ “ง่าย” นั้นไม่ใช่สิ่งที่ผมปรารถนาเท่าใดนักอีกต่อไป ผมอ่านผลงานในช่วงหลังแล้วพบว่าการเปิดโลกว่าหนังสือเล่มหนึ่งไม่ใช่เพียงเขียนเพื่อความสนุกแต่อ้างอิงความจริงเป็นฐาน ในความบิดเบี้ยวจากความเป็นจริงแล้วก็น่าสงสัยว่ามันจะบิดต่างจากการจินตนาการล้วนๆ มากน้อยแค่ไหน
ผมหยุดอ่านหนังสือของเขาไปนาน หนังสือเล่มหลังๆ ที่ซื้อมาผมพบว่าอ่านไม่จบ จนบางเล่มก็ไม่เคยเปิดอ่าน
ผมยังจำความตื่นเต้นของเด็กม. 3 ที่แอบเปิดไฟอ่านหนังสือใต้ผ้าห่มเพราะไม่สามารถหยุดอ่านหนังสือเล่มแรกๆ นั้นได้ และมันคงเป็นส่วนหนึ่งของผมไปตลอดกาล
อย่างไรก็ดี เมื่อผมเห็นหนังสือเหล่านั้นอีกครั้่ง ผมก็คิดในใจกับพวกมันว่า
“ขอบคุณที่มาส่ง และเราคงไม่ได้พบกันอีก”