ผมไม่ได้สนใจเท่าใหร่ที่ว่าใครจะอยากให้ใครมาเป็นผู้นำบ้านเมืองในตอนนี้ หลายครั้งแล้วผมนึกถึงคำพูดในหนังสือบางเล่มที่ว่า ประชาธิปไตยมันจะเดินหน้าไปของมันเอง โดยไม่มีใครมากหยุดมันได้
แต่ผมอยากจะบอกว่า การที่เราไปดูถูกเสียงของคนอื่นๆ โดยการไปบอกว่าเขา จน, โง่ ฯลฯ นั้น ล้วนเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจเป็นอย่างยิ่ง
ขณะที่คนแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่ละคนล้วนมีข้อดีและข้อเสียของตัวเองเป็นเอกลักษณ์ การที่เราจะก้าวเข้าสู่ประชาธิปไตยและความปรองดองกันได้ เราต้องยอมรับถึงความแตกต่างกันให้ได้เสียก่อน และต้องยอมรับว่าเราเองทุกคนก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบอะไร และต้องยอมรับว่าพวกเขาเหล่านั้นก็มีสิทธิที่จะเรียกร้องได้เท่าๆ กับเรา
การนำเอาตัวเลขการแข่งขันของประเทศที่เมื่อได้มาแล้วผลประโยชน์จะตกกับคนกลุ่มจำกัด โดยไม่ใส่ใจว่าชนชั้นล่างต้องการอะไรนั้น ไม่ต่างอะไรจากการไปปล้นเอาทรัพย์สินของชนชั้นล่างมาเป็นของคนส่วนน้อยแม้แต่น้อย
ขออ้างคำพูดของอาจารย์ ป๋วย อึ้งภากรณ์ ที่สลักไว้ข้างๆ อนุสาวรีย์ของท่าน ที่ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิตเอาไว้ดังนี้
ผมมีความเชื่อมั่นอย่างแน่นแฟ้นในระบอบประชาธิปไตย และในศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน… ผมเชื่อในเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนตามที่บัญญัติไว้ในปฏิญญาสากลของสหประชาชาติ ผมเชื่อในสิทธิของชายและหญิงทุกคน ที่จะมีส่วนร่วมในการกำหนดชะตากรรมสังคมที่เราอาศัยอยู่ การปฏิเสธไม่ให้สิทธินั้นแก่เขาเพราะเขายากจนหรือเพราะเขาขาดการศึกษา ผมถือว่าเป็นความร้ายกาจอย่างหนึ่ง ผมเกลียดชังเผด็จการไม่ว่าจะมีรูปแบบสีสันอย่างใดก็ตาม ผมมีความเชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยควรได้มาอย่างสันติวิธีเพราะผมต้องการหลีกเลี่ยงการใช้กำลังอาวุธในการรักษาอำนาจของรัฐบาล
เราจะเรียนรู้จากอาจารย์ป๋วยกันได้บ้างไหม
สังคมไทยจะเรียนรู้ที่จะเคารพกันและกันอย่างเท่าเทียมโดยไม่ลืมตัวและยกตัวเองเป็นอภิชนได้หรือไม่
การกระทำของเราเองนั่นแหละ ที่บอกได้
รู้ไหมครับว่ายังมีอาจารย์ธรรมศาสตร์ท่านนึงที่มาออกทีวีเมื่อวาน บอกว่า หากชนะเสียงในกรุงเทพไม่ได้ก็ไม่ควรจัดตั้งรัฐบาลอยู่เลย
แล้วก็มีบิ้กทหารอีกคนนึง ก็มาพูดออกสื่อแบบนี้เหมือนกัน
แบบนี้จะเลือกตั้งทั้งประเทศไปทำไมก็ไม่รู้เลือกในกรุงเทพไปก็หมดเรื่อง!
นี้แหละครับพอไม่ถูกใจอะไรก็ยกเหตุผลต่างๆนานามาอ้าง ถ้าผลคะแนนออกมาตรงข้าม พวกคนที่ผมอ้างถึงก็คงไม่พูดอะไรทุเรศหูแบบนี้แน่ๆ
บอกได้คำเดียวว่าอัปยศที่สุด
พวกอภิชน ไม่ค่อยรู้ตัวเองหรอก ว่าคิดว่าตัวเองเป็นอภิชน
เห็นด้วย
ปรบมือให้ครับ
ในฐานะที่เป็นคนอิสาน เกลียดคนที่ออกความเห็นแบบอภิชนมากครับ
ตามความคิดผม
เขาน่าจะหมายถึงการซื้อเสียงใน กรุงเทพฯ นั้นน้อยสุดมากกว่าครับ
สำหรับผมนะ การศึกษา สิ่งแวดล้อมอะไรก็ทำให้เราเลือกคนที่ดีที่สุดสำหรับเรายาก
ต่อให้ฉลาดแค่ไหนก็โดนหลอกได้ทั้งนั้น
ประชาธิปไตยมันก็แบบนี้ล่ะครับ
บังเอิญว่า อภิชน ที่คุณกล่าวถึงเป็นคนที่จ่ายภาษีส่วนใหญ่ของประเศด้วยนะสิครับ รัฐบาลน่ะก็คือคนที่ใช้่เงินภาษีของเรานั้นแฟละ แล้วเจ้าของเงินเขามีสิทธิจะคิดไหมละ พวกนักประชาธิปไตยทั้งหลาย
ประเทศไทยประกอบด้วยคนหลากหลาย ความคิดการกระทำก็มีหลากหลาย
แนวคิดประชาธิปไตยจึงมีความสำคัญยิ่งอย่างที่เจ้าของ blog ยกมา
การเข้าใจถึงความสำัคัญในการเคารพสิทธิเสรีภาพ มีน้อยไม่น่าเชื่อในสังคมคนเมือง
ประเทศไทยไม่ใช่ของคนที่มีเงินเยอะ หรือคนที่จ่ายภาษีเยอะ บทเรียนเราก็มีให้เห็น
คนที่หาได้เยอะก็ควรจะเข้าใจว่านั่นมาจากระบบเศรษฐกิจที่มีทั้งคนจนคนรวยในประเทศอุ้มชูอยู่
คนจนโง่ๆที่ถูกเหยียดหยามคือหนึ่งในคนที่ช่วยพยุงประเทศไว้ในยามวิกฤติ
อิม Says:
ขออีกหนึ่งที เมื่อกี้เหมือน post แล้วมันไม่ขึ้น
ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับความเห็นของ คุณอิม เท่าไหร่
หรือถ้าจะพูดให้ตรงกับความรู้สึกจริงๆ ผมว่ามันไม่ถูกต้องและสะท้อนมุมมองที่ไม่ฉลาดเลย
มาตรฐานชี้วัดควรเป็นอะไรที่อยู่ตรงกลาง ไม่ใช่คนนั้นจ่ายภาษีเยอะมีค่า คนนี้จ่ายภาษีน้อยด้อยค่า
ตาช่างอันไหนที่เข็มชี้มันไม่ได้ชี้ตรงกึ่งกลาง ให้เอาไปทิ้ง อย่าเอามาใช้งาน
ความหมายของคำว่า รวย จน คืออะไร และความหมายของคำว่า คน ล่ะ?
ถ้าคิดอย่างที่ Comment จริงๆ ต้องแปลว่าไม่เข้าใจเศรษฐศาสตร์มหภาคแน่ๆ
ถ้างั้นลองค่อยๆ คิดตามนะ ผมจะพิมพ์ช้าๆ คุณอิม จะได้คิดตามทัน
สมมุติว่าคุณอิมและเพื่อนที่เป็นทีมทำงาน 10 คน ได้รับมอบหมายจากเจ้านายให้ทำงานชิ้นนึง
ครั้นพองานชิ้นนั้นเสร็จแล้วซึ่งอาจจะเป็น ซอฟท์แวร์ หรือ ผลิตภัณฑ์ อื่นๆ อะไรก็ตาม
เจ้านายของคุณนำชิ้นงานนั้นไปขายได้ในราคา 1 ล้านบาท เป็นเหตุให้ต้องเสียภาษีเงินได้
ในขณะที่คุณและเพื่อนทั้ง 10 ได้รับเงินเดือนเพียงคนละ 15,000 บาท จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
อย่างนี้ ก็มีเพียงเจ้านายคุณเท่านั้นที่เป็นบุคคลที่มีประโยชน์และทรงคุณค่าต่อประเทศและเขาสมควรได้รับอภิสิทธิ์ต่างๆ เหนือคุณรวมถึงความคิดเห็นของเค้าที่มีต่อประเทศจะมีค่าและความหมายมากกว่า ส่วนคุณและเพื่อนทั้ง 10 ก็เป็นคนที่ไร้ค่าไม่มีความหมายต่อประเทศและบริษัทของคุณ??
คิดอย่างงี้ตลกมั้ย??
ถ้าชาวนาปลูกข้าว แล้วแบ่งส่วนนึงไปขายอีกส่วนเก็บไว้กิน เงินที่ได้จากการขายข้าวคงจะไม่มากพอที่จะเข้าข่ายต้องเสียภาษีเงินได้ แถมไม่ซื้อข้าวกินก็ไม่ต้องจ่าย VAT ในขณะที่คุณต้องไปซื้อข้าวกินต้องจ่าย VAT คุณก็เลยมีค่ามากกว่าชาวนา??
ถ้าโชคร้ายมีรัฐบาลไหนคิดเหมือนคุณอิมแล้วเพิกเฉยต่อกลุ่มคนที่เค้าคิดว่าไร้ค่า ปล่อยให้แตกดับและหายไปเองจากสังคม
ปรากฏว่าวันนึงไม่มีคนปลูกข้าว ต้องมีการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ
ในส่วนของภาครัฐ ประเทศต้องเสียดุลย์การค้า ในส่วนคุณอิมต้องซื้อข้าวราคาแพงขึ้น(แน่นอนว่าคุณยังคงต้องจ่าย VAT แต่คุณก็ยังบอกว่า “สมน้ำหน้าไอ้พวกชาวนาไม่จ่าย VAT หมดไปจากประเทศซะได้ก็ดี เอาเงินไปให้ต่างชาติดีกว่า”) อย่างนี้คุณก็ยังจะยืนยันว่าชาวนาไร้ค่าและไม่มีความหมายต่อคุณและต่อประเทศชาติ??
คิดอย่างงี้ คิดนานมั้ย? คิดได้ไง ถามจริงๆ??
อืมม ผมยอมรับครับว่าผมเป็นคนที่ชอบเหยียดหยามคนอื่น หรือจะเรียกอภิชนก็ได้
แต่ว่าผมยอมรับเสียงของคนหมู่มากนะ ผมรู้ว่าผมยังไงก็เป็นชนส่วนน้อย แต่สิ่งที่ผม
ภูมิใจก็คือผมไม่เอาเปรียบใคร
ที่ผมเหยียดหยามคนอื่นเพราะผมยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกว่ามนุษย์เรามันไม่เท่ากัน ไม่ว่าจะ
ด้านจิตใจ ทัศนคติ จริยธรรม ผมเห็นสภาพสังคมต่ำๆ หาเช้ากินค่ำ ทำทุกอย่างเพื่อ
จะหาเงินโดยไร้ซึ่งศักดิ์ศรีหรือความเป็นคน พร้อมที่จะเป็นโจรตลอดเวลาที่ไม่มีใครมอง
และก็ใช้เงินหมดไปกับเรื่องราวไร้สาระเดิมๆ วนเวียนทุกเช้าค่ำโดยไม่มีความคิด
ที่จะปรับปรุงตนเองในทุกๆด้านๆ อยู่รวมกันในหมู่คนต่ำๆ ผลิตลูกหลานที่จะโตขึ้นมา
เป็นปัญหาสังคมต่อไป แล้วจะให้ผมทำยังไงครับ ให้ผมคิดว่าคนพวกนี้เท่าเทียมกัน
ควรจะได้รับการยอมรับเอาใจใส่ดูแล แต่ในเมื่อตัวพวกคนเหล่านั้นเองก็ไม่ได้สนใจ
อะไรกับตัวเองเลย งอมือเงาเท้าแล้วก็แหกปาก
แล้วคนพวกนี้ก็จูงจมูกได้ง่ายมาก ผมคงไม่ต้องอธิบายว่ามันคืออะไร หรือยังไง
ผมควรจะทำยังไงดีเนี่ย!? ช่วยชี้นำผมหน่อยได้ใหม
“แต่คุณก็ยังบอกว่า “สมน้ำหน้าไอ้พวกชาวนาไม่จ่าย VAT หมดไปจากประเทศซะได้ก็ดี เอาเงินไปให้ต่างชาติดีกว่า”) อย่างนี้คุณก็ยังจะยืนยันว่าชาวนาไร้ค่าและไม่มีความหมายต่อคุณและต่อประเทศชาติ??”
ถ้ากลไกมันพัฒนาไปถึงขนาดนั้น แสดงว่าประเทศชาติไม่จำเป็นต้องมีชาวนา(จนๆ)เพราะชาวนาไปทำอย่างอื่นซึ่งคุ้มค่ามากกว่าข้าว และก็มีรายได้มากพอที่จะนำเข้าข้าวแทน ในตอนนี้ชาวนาจ(จนๆโง่ๆ))เดิมก็อาจจะไม่โง่แล้ว เพราะไปทำเกษตรกรรมแนวอื่นซึ่งกำไรดีกว่า
ส่ิงที่ผมรังเกียจและดูแคลนไม่ใช่ชาวนาหรือคนจนครับ ผมรังเกียจความไร้สติปัญญาและทัศนคติแคบๆครับ
และมันคงไม่ใช่กงการอะไรชองผมที่จะต้องไปลำบากเปิดหูเปิดตาหรือให้ความช่วยเหลือคนเหล่านั้น
ไม่ใช้อารมณ์นะครับ แต่นี่เป็นความคิดของผม
ถ้าคุณเห็นตัวเองดีกว่าชาวนาจนๆที่อยู่ไปวันๆ
ก็ควรจะเห็นตัวเองเป็นแค่มนุษย์ชั้นกลางต่ำต้อยด้อยค่ากว่าคนชั้นสูงด้วยนะ
ในสายตาของคุณเห็นคนจน ว่าจะต้องไม่มีสติปัญญา โง่เขลา จูงจมูกง่าย ในสายตาตัวเอง
ด้วยตรรกะเดียวกัน คุณก็ด้อยปัญญา โง่เขลา และจูงจมูกง่าย ในสายตาของอภิชนเหมือนกัน
คนมันจะเป็นปัญหามันไม่เกี่ยวกับชนชั้นไหนหรอก ชนชั้นกลางนี่แหละตัวปัญหาที่ผลิตลูกหลานมาเป็นภาระสังคมมากที่สุด ยิ่งชนชั้นสูงที่มีเงินมาก แม้จะไม่ผลิตออกมามาก แต่พอเป็นปัญหาซะคนนึง ยิ่งเป็นปัญหาหนักเพราะมีเงินมีอำนาจในมือ
คุณคิดเหรอว่าชนชั้นกลางฉลาดนัก ที่ไปชุมนุมกันที่สนามหลวง ร้อง เราจะสู้เพื่อในหลวง ร้อง เราจะกู้ชาติ ขนาดว่าคนที่เป็นเจ้าตัวมาบอกว่าไม่ต้องสู้ ไม่ต้องกู้ ก็ยังไม่เลิกชุมนุมกัน มันฉลาดตรงไหน สติปัญญาสูงตรงไหน จูงจมูกยากตรงไหน
แค่ลมปากฐานันดรที่สี่ ก็จูงจมูกได้ง่ายๆ ไม่ต้องมีอะไรให้เห็นเป็นตัวเป็นตน
กลับกันที่คนชั้นล่างถูกจูงจมูก ด้วยการมีอยู่มีกิน มีเงิน มีโอกาส มีสวัสดิการให้เห็น ถึงข้างในจะกลวง แต่ก็ยังมีให้ใช้
ไม่ว่าจะัชั้นบน ชั้นกลาง หรือชั้นล่าง ก็ล้วนแต่ทำอะไรเพื่อประโยชน์ของตัวเองเป็นสำคัญเหมือนกันทั้งนั้น
ถ้าคุณแยกเขาแยกเรากับคนต่ำกว่า คุณก็ไม่มีสิทธิจะไปตีเสมอกับคนสูงกว่า
มันถึงเกิดระบอบประชาธิปไตย ที่ทุกคนมีสิทธิที่จะเรียกร้องเพื่อปกป้องสิทธิ โอกาส และผลประโยชน์ของตัวเอง
คุณอาจจะไม่คิด หรือคิดไม่ถึง หรือไม่เคยรู้ ว่าสิ่งที่คนชั้นต่ำกว่าคุณ ทำลงไปแล้ว คุณเห็นว่าพวกเขาจูงจมูกมา
จริงๆแล้วพวกเขาตัดสินใจเพราะอะไร
พวกเขาทำเพื่อผลประโยชน์ของเขา คุณมองว่าพวกเขาไร้สติปัญญา มีทัศนคติแคบๆ
แต่ถ้าเกิดมันมีอะไรที่กระทบผลประโยชน์ของคุณ คุณก็คงเรียกร้องเหมือนกัน
ถ้าคุณคิดว่ามันไม่ใช่กงการอะไรของคุณที่จะต้องลำบากไปเปิดหูเปิดตาพวกเขา คุณก็ไม่ควรต้องมาลำบากคิดแทนพวกเขา อย่าลำบากมา และอย่าลำบากมาเถียงกับคนอื่นจะดีกว่ามั้ย
แล้วเกษตรกรจะมีกำไรก็ต่อเมื่อคุณซื้อข้่าวพวกเขาแพงกว่านี้โดยไม่ผ่านการถูกกดราคาเท่านั้น
ทุกวันนี้คุณซื้อข้าวแบบเอารัดเอาเปรียบพวกเขามาตลอด โดยการผ่านคนกลางกดราคา พูดง่ายๆก็คือคุณมันก็กินแรงชาวนา คดโกงข้าวชาวนามากินโดยที่ตัวเองไม่รู้
จะอ้างว่าด้วยโครงสร้างมันเป็นแบบนี้มันก็อ้างได้ แต่ถึงยังไงเราก็ผิดอยู่วันยังค่ำ เหมือนจะบอกว่ากินหมูโดยที่ไม่ได้ฆ่าหมูเอง จะไม่บาป มันก็เป็นไปไม่ได้
หรือคุณสั่งข้าวอิมพอร์ทมากินแทนจากไหนรึไง?
ถ้าเกิดว่าประเทศไทยไม่มีชาวนาปลูกข้าว แต่คุณไม่รวยพอที่จะซื้อข้าวมาจากต่างประเทศ
คุณจะทำยังไง
ในปิรามิด จุดยอด หรือตรงกลาง ไม่ไ้่ด้มีความสำคัญมากไปกว่าฐาน
การอยู่สูงหรือต่ำ มันไม่ควรจะเอามาเป็นปัญหา ภายในปิรามิดก้อนเดียวกัน
เพราะหากขาดอะไรไป ปิรามิด ก็พังเหมือนกัน
เป็นคนเหมือนกันแท้ๆ
แล้วด้วยตรรกะเดียวกันกับคุณที่ว่าคนชั้นล่าง ไม่มีโอกาส ด้อยปัญญา
แปลว่าชนชั้นสูงกว่ามีปัญญา ทำอะไรก็ถูกต้องดีงาม ชาญฉลาดไปหมดทุกอย่างทุกคนงั้นสิ??
ถามตัวเองดีๆนะครับว่า สิ่งที่อภิชนทำแต่ละอย่างตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันมีอะไรดีบ้าง
เหลวแหลกไม่ต่างกัน แถมยังสร้างปัญหายิ่งกว่าซะอีก
ที่คุณ Thaina ตอบมามันก็มีประเด็นนะครับ แต่ไม่ค่อยชอบการตอบที่เหมือน
ย้อนคืนไปคืนมาถ้าย้อนไปมาอย่างนี้มันก็ไม่มีทางออกหรอก เป็นแค่การสร้าง
ความรู้สึกๆดีให้ตัวเองที่จะได้เป็นตัวแทนของสังคมเท่าเทียมกัน ผมชอบที่บอกว่า
อภิชนก็สร้างปัญหาไม่แพ้ “คนที่ถูกเรียกว่าชนชั้นล่าง” พอคิดๆดูมันก็จริง จริงๆ
ก็อยากจะลากยาวไปถึงใหนต่อใหน แต่คิดว่าไม่ใช่ประเด็นที่จะพูดถึงตอนนี้
เอางี้ดีกว่า ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องประชาธิปไตย ถ้ามองว่าประเทศเป็นปิรามิด ไม่ว่า
จะเป็นอิฐก้อนใหนก็มีความสำคัญเท่ากัน แต่ผมดูแคลนอิฐที่ด้อยคุณภาพ ผุกร่อน
โดยไม่สนใจว่ามันจะเป็นอิฐก้อนบนหรือก้อนล่าง
แต่ยังไงผมก็รู้สึกว่าเป็นคนเหมือนกันแท้ๆ มันก็ไม่มีทางเท่าเทียมกันแน่นอน จะว่า
ต่างฝ่ายก็ทำประโยชน์เพื่อตนเองทั้งนั้น และตอนนี้ประชาธิปไตยของประเทศถูก
กำหนดโดยฝ่ายที่จูงจมูกคนได้มากกว่า และคนที่ถูกจูงจมูกจำนวนมากก็ล้วนแต่
เป็น “คนที่ถูกเรียกว่าชนชั้นล่าง” และก็ไปเป็นฐานอำนาจให้กับ “อภิชน” ส่วนนึง
ที่มีความสามารถจูงจมูกคนได้มากกว่า และกระหายที่จะหาประโยชน์เข้ากับ
พวกพ้องของตนเองอย่างรุนแรง และยังเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามประชาธิปไตย
ซะด้วยนี่สิ
แล้วจะทำยังไงดีครับ?
ถ้าทุกคนเท่าเทียมกันแล้วมันเป็นอย่างย่อหน้าข้างบน ก็จะเป็นการก้าวไปข้างหน้า
ด้วยประชาธิปไตยอย่างไทยๆ ซึ่งมันคงไม่น่าพิศมัยเท่าใหร่ใช่ใหมครับ
ขอย้ำอีกครั้งว่าผมไม่ได้ยกตัวเองเป็นอภิชน (หรืออาจจะยกไปแล้วก็ได้มั้งlol)
แต่ผมดูแคลนมนุษย์ด้วยกันเพราะว่าคุณสมบัติในตัวมนุษย์คนนั้น ไม่ได้
ดูแคลนเพราะว่าฐานะทั้งทางการเงินและสังคม และผมก็พบเห็นมนุษย์
ที่ทัศนคติแคบๆแบบ “คนที่ถูกเรียกว่าชนชั้นล่าง” บ่อยครั้งจนระอา
ถ้าพูดตรงๆในความคิดผมคือถ้าหาก “คนที่ถูกเรียกว่าชนชั้นล่าง” ซึ่งเป็นคน
ส่วนมากของประเทศมีความรู้วิจารณญาณ มีทัศนคติมากกว่านี้ มันก็จะทำให้
เหล่า “อภิชน” เอาเปรียบและหาประโยชน์ให้พวกพ้องได้ยากกว่าเดิม ซึ่งก็คง
ทำให้ประเทศนี้ก้าวเดินไปในทางที่ถูกต้องและมั่นคงกว่าเดิม ถ้าเอาแต่ตำหนิ
คนที่ถูกเรียกว่า “อภิชน” โดยที่รากฐานของประเทศยังไร้สติปัญญาอย่างนี้
อะไรอะไรมันก็ไม่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
ส่วนวิธีกระทำนั้นไม่ขอออกความเห็น
แล้วช่วยกรุณาตอบอย่าใส่อารมณ์เหมือนกำลังตำหนิผมครับ
นี่เป็นทัศนคติของผม ไม่ได้เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง
คุณพูดคำว่าอภิชนกลุ่มหนึ่ง คุณคิดว่ามีอภิชนกี่กลุ่มที่ไม่จูงจมูกคน
ผมไม่รู้ว่าหมายถึงกลุ่มไหนแน่ แต่ถ้าเรียกว่า จูงจมูกชนชั้นล่าง ก็น่าจะเป็นกลุ่มที่ผมรู้จัก
แต่ในขณะเดียวกันคุณกลับไม่พูดถึงการจูงจมูกชนชั้นกลางของอภิชนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอ้างความจงรักภักดีบ้าง ใช้กระแสสื่อบ้าง ใช้กระแสความเกลียดชังสร้างภาพบ้าง เพื่อหลอกให้ชนชั้นกลาง และชั้นสูงบางส่วนเช่นนักวิชาการ ให้หลงเชื่อ และเคลื่อนไหว
คุณคิดว่าอภิชนกลุ่มไหนกระหายผลประโยชน์มากกว่ากัน
ในมุมมองของคนส่วนใหญ่เห็นว่า เราควรเลือกสิ่งที่ดีกว่า และนั่นก็เป็นมุมมองให้คิดต่อไปว่า สิ่งที่ดีกว่า คืออันไหนกันแน่ คุณอาจจะไม่เห็นเหมือนผม แต่มันก็ไม่ใช่ว่าผมจะเข้าใจคุณขาดวิจารณญาณ
บางทีคนที่คุณเรียกว่าชนชั้นล่าง อาจรู้อะไรๆมากกว่าคุณซะอีก จากประสบการณ์ที่สั่งสมกันมาตลอดหลายสิบปีของประชาธิปไตยไทย
แล้วคุณเอาอะไรมาแน่ใจว่าคนกลุ่มทีุ่คุณเรียกว่าชนชั้นล่าง ขาด วิจารณญาณ
เพราะคุณเชื่อว่าตัวเองมีวิจารณญาณเพียงพอแล้ว และถ้าคนอื่นตัดสินใจในแบบที่คุณรับไม่ได้ คุณจึงเข้าใจว่าคนกลุ่มนั้นขาดวิจารณญาณรึเปล่า
ผมว่าวิจารณญาณของคนเราไม่เหมือนกัน
มันไม่ใช่แค่ไม่เท่ากัน แต่มันไม่เหมือนกัน
ผมอาจจะมีวิจารณญาณเท่ากับคุณ(อาจจะนะ หรืออาจจะน้อยกว่า) แต่ผมก็คงไม่ได้มีวิจารณญาณแบบเดียวกับคุณ
ในมุมของคุณคุณเห็นอิฐที่ฐานล่างผุกร่อนมากกว่าด้านบน ผมกลับเห็นช่วงบนและช่วงเกือบจะถึงยอดผุกร่อนไม่มีชิ้นดีมากกว่านั้น
สิ่งที่ผมอยากพูดคือ
คุณมีทัศนคติ ที่อคติ ต่อชนชั้นล่าง และลืมมองความเป็นจริง ว่าชนชั้นกลาง หรือสูง มันก็เหมือนกัน
ชนชั้นกลางหรือชั้นสูงดูจะสร้างปัญหามากกว่าด้วย
ความเป็นชนชั้นล่างขาดเพียงโอกาส ไม่ได้ขาดสมอง ไม่ได้ขาดวิจารณญาณ
และ ชนชั้นล่างไม่มีโอกาส ไม่มีเวลาว่างมากพอ ที่จะมาสู้เพื่อใคร นอกจากเพื่อตัวเอง
คนที่ขาดสมอง ขาดวิจารณญาณ มันไม่เกี่ยวกับชนชั้น ถ้าแบ่งแยกเขาเราแบบนี้ต่อไป มันก็เกิดปัญหาไม่จบไม่สิ้น
คุณไม่ชอบทัศนคติแคบๆแบบชนชั้นล่าง ผมก็ยอมรับว่ามันมีอยู่จริง
แต่คุณน่าจะรู้ตัวบ้างว่าคุณก็มีทัศนคติแคบๆแบบอภิชนเหมือนกัน
คุณคงเข้าใจความระอากับทัศนคติแคบๆได้ ไม่ว่าจะเป็นของชนชั้นล่างหรืออภิชนก็ตามที
เลิกเถอะครับ ทัศนคตินี้น่ะ
อ้าวเบิ้ล ขอโทษทีนะครับ เห็นมันไม่ไป
สวัสดีคุณ ผ่านมาพอดิบพอดี ซึ่งอาจจะเป็นคนเดียวกันกับคุณอิมหรืออาจจะไม่ใช่
อ่านมาทั้งหมดแล้ว ผมมีไอเดียนึงผลุดขึ้นมา ซึ่งไม่ยืนยันว่าถูกต้องหรือปล่าวแต่คิดว่าน่าจะ
คือเรื่องคำว่า รากหญ้า ชนชั้นล่าง(หรือชั้นต่ำที่คุณเรียก) ซื้อเสียง หรืออะไรในทำนองนี้มันมาจากไหนรู้มั้ย?
ผมคิดว่ามันเป็นกระแส มันมีคนจุดกระแสความคิดนี้ขึ้นมาแล้วก็แพร่กระจายไปตามๆ กัน ซึ่งจริงๆ แล้วผมมองว่ามันเป็นการอ้างเพื่อจะไม่เคารพสิทธิ์และความคิดเห็นคนอื่น
กาลครั้งหนึ่ง เมื่อมีผลการเลือกตั้งที่ไม่ถูกใจคนกลุ่มหนึ่งออกมา ก็มีกระแสออกมาบอกว่า “เสียงที่ออกมาน่ะ มันโดนซื้อ พวกนี้มันโง่ให้เค้าหลอกซื้อเสียงง่ายๆ ”
ต่อมามีการชุมนุมของคนอีกฝ่ายหนึ่งที่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อต้านคนที่ออกมาชุมนุมเป็นฝ่ายแรก พวกฝ่ายแรกก็บอกว่าพวกนี้โดนหลอกมา โดนจ้างมา พวกนี้มันโง่(อีกแล้ว) มันน่าแปลกตรงที่ว่าคุณไปรู้กันได้ยังไงว่าใครโดนหลอกหรือไม่โดนหลอกมา ทั้งๆ ที่คุณยังไม่เคยเจอกันด้วยซ้ำว่าไอ้ที่มาน่ะใคร มีพื้นปูมหลังที่มาที่ไปยังไง เอาแต่เพียงความเชื่อกับทรรศนะที่อิงกับข่ายการรับรู้ที่มีขีดจำกัดในเชิงกายภาพไปตัดสินคนอื่นฉับ ประหนึ่งผู้รู้แจ้งเห็นจริง อย่างงี้ใครกันแน่ที่แคบสั้น??
เอาล่ะต่อมาก็ได้เกิดเหตุการณ์โน่นนี่จนได้มาถึงการเลือกตั้งครั้งล่าสุด
เมื่อองค์ประกอบต่างๆ มันไม่เอื้อให้อ้างว่ามีการโกงอะไรอีกแล้ว อีกทั้งคณะกรรมการต่างๆ รวมถึงองค์กรหน่วยงานที่ควรจะเป็นกลางก็เอียงข้างจนเกือบจะน่าอัศจรรย์ใจพอๆ กับหอเอนเมืองปิซ่าแล้วผลการเลือกคั้งมันก็ยังออกมาในแบบที่คนกลุ่มเดิมไม่พอใจ ก็เริ่มมีการออกมาพูดกันถึงว่าพวกนี้เป็นชั้นล่างโง้นงี้ ไม่ควรได้รับการประเมิณสิทธิอย่างเท่าเทียม ไปซะอย่างงั้น
จริงๆ เหล่านี้มันเป็นเพียงสิ่งที่ถูกยกขึ้นมาเพื่อที่จะเป็นข้ออ้างในการไม่รับฟังและไม่ให้เกียรติความคิดเห็นของคนอื่นเท่านั้น
คุณเชื่อเอาเองว่าความคิดเห็นของคุณถูกที่สุด ความจริงหนึ่งอย่างที่คุณควรรับรู้เอาไว้ก็คือ คนทั้งโลกคิดเหมือนคุณหมด เพียงแต่คนที่มีคุณสมบัติแตกต่างจากคุณในเรื่องการให้เกียรติและรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น เป็นคนสร้างและบัญญัติระบอบประชาธิปไตยขึ้นมา
เห็นในข้อเขียนของคุณชอบที่จะระบุถึงคนชั้นโน้นชั้นนี้ โดยเฉพาะคนชั้นล่าง
อ่านแล้วผมงงๆ ปนขำๆ เกิดเป็นความคิดตลกๆ กับตัวเองอดที่จะเล่าให้ฟังไม่ได้
อารมณ์ประมาณว่า “แหม่ะ ชอบแบ่งชนชั้นด้วยวุ้ย คนนั้นชั้นนั้น คนนี้ชั้นนี้ แล้วเค้าคิดว่าตัวเองนี่ชั้นไหนวะ? ถ้าคิดว่าตัวเองชั้นกลางและมีการศึกษานี่ ปริญญานี่ไปเรียนไปรับมาจากอินเดียด้วยป่าววะเนี่ย แบ่งวรรณะ เหลือเกิน” ฮ่าๆ ขำไหม (ผมว่าวิธีคุยกับตัวเองของผมตลกดีออกนะ)
ความคิดตั้งต้นของระบอบคอมมิวนิสต์เกิดขึ้นมาจากชนชั้นบริหารคิดและเชื่อเอาเองว่าประชากรของตัวเองโง่เกินกว่าที่จะปกครองตัวเอง และ/หรือ อาจจะรวมไปถึงการต้องการกุมอำนาจเอาไว้เองอย่างปล่อยไม่ได้ และไม่กล้าปล่อย เพราะไม่เชื่อมั่นในความดีและความสามารถของตัวว่าถ้าปล่อยให้ประชาชนเลือกผู้นำ ตัวเองจะได้กลับมาอีกหรือปล่าว
ส่วนการจัดแบ่งชนชั้นวรรณะอย่างที่อินเดียทำ มันเป็นการจำกัดคนกลุ่มล่างให้อยู่กลุ่มล่างอย่างไม่ต้องคิดไปเป็นอย่างอื่น จำกัดคนด้อยโอกาสให้ไม่ได้ผุดได้เกิด จัณทาล ก็เป็น จัณทาล ต่อไปอย่าฝันถึงอนาคตอะไรให้มากนัก
ซึ่งจากการที่ผมอ่านความคิดเห็นของคุณมาทั้งหมด มันทำให้คิดว่า คุณเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมากของระบอบคอมมิวนิสต์และการแบ่งวรรณะตามแบบอินเดีย
ไม่ได้หมายถึงแย่หรือเลวร้ายอะไร เอาว่าอย่างน้อยระบบทั้งสองมันก็ยังดำรงณ์คงอยู่ได้ในโลกใบนี้
เพียงแต่ว่าขอผมนำเสนอข้อคิดเห็นที่ต่างออกไปจากของคุณหน่อยนะ
ใครเป็นคนบอกว่าชาวนาจะต้องเป็นชาวนาตลอดไป? และลูกชาวนาจะต้องโง่และเลวร้าย สุดท้ายก็ต้องกลับมาเป็นชาวนา??
นี่มันเป็นความสวยงามอย่างหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เท่าเทียมกัน คนรวยที่สร้างตัวเองมาจากชาวนาเคยเห็นมั้ย? หรือลูกชาวนาที่ไฝ่ดีเรียนจบออกมาเป็นหมอ อย่างนี้เคยเห็นบ้างมั้ย?
หรือคุณคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ควรเกิด? ชาวนาและลูกของมันก็ควรถูกกดเอาไว้ด้วยระบอบและระบบที่อย่าปล่อยให้มันได้ลืมตาอ้าปากอะไรได้ เสียงของมันต้องเบาหรือแทบไม่ได้ยินเลยจะดีที่สุด? ถ้าคุณคิดอย่างงี้จริงๆ ผมล่ะเสียดายแทน ทำไมคุณไม่ไปเกิดที่อินเดียไปเลยว้า… น่าจะดำรงณฺ์ชีวิตได้อย่างมีความสุข เว้นเสียแต่ว่าคุณไปเกิดเป็น จัณทาล อย่างงั้นคุณอาจจะอยากตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ที่ประเทศไทยอีกที
ส่วนในเรื่องที่ว่าอะไรที่หายไปจากโลกหรือระบบ แปลว่าโลกหรือระบบนั้นได้พัฒนาไปถึงขั้นไม่จำเป็นต้องมีสิ่งนั้นแล้ว?
ถ้าชาวนาได้หายไปจากประเทศไทยแปลว่าเค้าไม่ได้มีคุณค่าและประเทศไม่ได้ต้องการเค้าแล้ว??
ความคิดแบบนี้ เป็นลักษณะการคิดแบบชั้นเดียว ซึ่งมักพบได้ง่ายในกลุ่มเด็กที่ยังไม่ได้เรียนการแก้สมการ(ผมเชื่อเอาเองว่า เด็กที่เข้าใจการแก้สมการแล้ว สมองจะถูกพัฒนาให้คิดวิเคราะห์อะไรที่ซับซ้อนและเป็นขั้นเป็นตอนได้ดีขึ้น)
ยกตัวอย่างเล่นๆ สมมุติคุณเกิดตายมาในวันนี้วันพรุ่ง แปลว่าโลกนี้และคนรอบข้างคนใกล้ชิดคุณ ไม่ต้องการคุณแล้ว?? (ผมแค่ยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ไม่ได้สาปแช่ง ละก็ ขออย่าให้เป็นจริงเลยเท้อ สาธุ)
อะไรๆ มันก็ไม่ได้คิดได้ง่ายๆ แค่นั้นไปซะหมดหนิครับ จริงไหม? (ถึงตอนนี้เชื่อเอาเองว่าคุณคงไม่เถียง… บรื๋อ… :S )
ไม่งั้นมันคงไม่มีสัตว์สงวน หรอกจริงไหม? สาเหตุที่เราต้องสงวนเพราะเรากลัวมันจะหมดไปทั้งๆ ที่เรายังต้องการมัน แต่หันมาให้ความสนใจและดูแลมันอย่างช้าเต็มที ไม่งั้นมันคงไม่เหลือน้อยถึงขั้นต้องสงวน
คุณบอกว่าคุณภูมิใจที่ไม่ได้ไปเอาเปรียบใคร
แล้วชาวนาหรือชนชั้นล่างคนไหนเอาเปรียบคุณ??
คุณบอกว่าคุณมองเห็นว่าชนชั้นล่างที่เปรียบเหมือนอิฐชั้นฐานของปิรามิดผุกร่อนเต็มที และพร้อมที่จะสร้างปัญหาให้สังคมเสมอ
นั่นเป็นเพราะขีดความสามารถในการรับรู้และมองเห็นของคุณมันจำกัดหรือปล่าว?
คนจน ถูกใครหลายคนมองว่าเป็นคนชั้นล่าง ซึ่งคนชั้นล่างน่ะ ความสามารถในการปกป้อง ป้องกันตัวเองก็ต่ำไปด้วย
วันไหนดวงซวยจัดๆ เผลอขโมยปลาทูเข่งนึง ยังเป็นข่าวลงหน้าหนึ่งให้คุณได้อ่านเลย
แต่พวกคนชั้นสูงนี่สิ อำนาจและความสามารถในการปกป้องตัวเองก็สูงตามไปด้วย อะไรไม่ดีๆ ของเค้าเนี่ยคุณไม่มีโอกาสได้ไปรับรู้ของเค้าหรอก
ชนสวัสดิ์ที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีทำร้ายและขัดขืนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานนี่ชนชั้นไหน? หมูแฮมที่พุ่งเบ็นซ์เหยียบคน นั่นทุกอย่างก็กำลังเงียบไปๆ ทุกวัน และก็คำถามเดิม ชนชั้นไหน?
หนึ่งในคนจน ที่โง่และมีสันดานโจร ปล้นร้านทอง คุณด่าว่า “ไอ้พวกคนจน นี่มันเลวจริงๆ” แหน่ะ คนทำแค่ไม่กี่คน นับเป็นเปอร์เซ็นต์ยังไม่ถึง 1% ดีเลยมั้ง แต่คุณเหมาทั้งวรรณะ(ที่คุณคงจะแอบแบ่งในใจว่าใครชั้นไหน วรรณะไหน) นี่ขนาดคุณเห็นแล้วแค่รู้สึกเจ็บใจ และแค้นแทนเจ้าของร้าน โดยที่จริงๆ แล้วยังไม่ได้ส่งผลโดยตรงอะไรถึงคุณนะ ยังด่าเหมาชาติกำเนิดกันแบบนี้
ขณะเดียวกัน ผมไม่รู้ว่ารายได้คุณถึงเกณฑ์เสียภาษีหรือปล่าว แต่ผมจะขอสมมุติกึ่งเดาว่าถึง คุณรู้ไหมว่าเงินภาษีที่คุณจ่ายไปน่ะ ถูกนำมาสร้างประโยชน์ให้ประเทศจริงๆ กี่เปอร์เซ็นต์? เชื่อว่าหลายคนที่ทำงานเกี่ยวกับโครงการที่เสนอภาครัฐจะรู้กันดีว่างบที่อนุมัติกันออกมาเนี่ย คนกลางหรือผู้ที่ประมูลโครงการได้ไปดำเนินการเนี่ย กำไรไม่ควรต่ำกว่า 20-30% อยู่แล้ว(อย่าไปคิดจากต้นทุนที่เสนอยื่นขอโครงการกันล่ะ ให้ดูจากคุณภาพที่ออกมากับเงินที่จ่ายเป็นต้นทุนจริง) นี่ยังไม่นับรวมเบี้ยบ้ายรายทาง ใต้โต๊ะใต้เก้าอี้ ค่าดำเนินการ ค่าอำนวยความสะดวกที่ต้องจ่ายให้เจ้าหน้าที่ตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงผู้ที่มีอำนาจหรือส่วนช่วยอนุมัติโครงการ คุณคิดว่าเม็ดเงินที่จะตกไปยังโครงการจริงๆ เท่าไหร่? 50% ถึงหรือปล่าวผมยังไม่ค่อยมั่นใจเลย เสร็จแล้วคุณก็จะหันมาเรียกนายทุนที่ร่ำรวยจากโครงการที่ว่าและนักการเมืองที่โกงกินว่า ท่านชนชั้นสูง เพียงเพราะเค้ารวยมีเงิน โดยที่ก็ยังไม่รู้สึกว่า เค้าไม่ได้เอาเปรียบคุณ??
ผมสังเกตเห็นคำว่า “โง่” ในข้อเขียนของคุณหลายคำ
ผมแปลกใจว่าอะไรทำให้คุณมั่นใจว่าสิ่งที่คุณคิดเป็นความเชื่อที่ฉลาด ที่อาจไม่ได้เป็นอีกหนึ่งความคิดโง่ๆ ที่แค่แตกต่างกับความคิดโง่ๆ อีกอันที่คุณพูดถึง?
ส่วนตัวผมชอบเรื่องราวของไอสไตน์
และเท่าที่ผมอ่านเรื่องราว ประวัติของเค้ามา ถ้าจำไม่ผิด ไอสไตน์ไม่เคยต่อว่าหรือด่าใครว่าโง่ยกเว้นตัวเค้าเองที่เขลามากพอจะเป็นส่วนหนึ่งของหายนะที่ฮิโรชิมา พูดให้ง่ายอีกทีก็คือโดนอเมริกาหลอก
อัจฉริยโลกตะลึงขนาดนั้นยังไม่เที่ยวด่าใครว่าโง่ ผมไม่มั่นใจว่าคุณจะฉลาดได้ในระดับเดียวกันกับไอสไตน์หรือปล่าว ถึงค่อนข้างประหลาดใจว่าทำไมชอบคิดว่าคนอื่นโง่?? ผมว่าเอาเข้าจริงเราทุกคนก็โง่กันหมดนะ ฮ่าๆ เพราะงั้นอย่าไปด่าคนที่คิดไม่เหมือนเราว่าโง่เลย มันจะคล้ายๆ พยาธิตัวหนึ่งมองเห็นพยาธิอีกตัวหนึ่งแล้วบอกว่า “อี๋แหว่ะ หยะแหยงแกว่ะ สกปรก บรื๋อ… เห็นแล้วขนลุก :S”
ยาวมาก… อ่านจบนี่นับถือเลย…
เผลออ่านจบ