บนรถไฟฟ้าที่คนแน่เป็นปลากระป๋อง รถเมลบนถนนที่ติดเป็นแพเหมือนลานจอดรถขนาดใหญ่ ชีวิตที่วุ่นวาย และจำเจ ผมนั่งนึกกับตัวเองว่าทำไมเราต้องมาทนอะไรกับเรื่องที่น่าเบื่อเหล่านี้
ผมหยิบเครื่องเล่นเอ็มพีสามขึ้นมา ฟังเพลงตามปรกติ แต่เว่บหนึ่งแล้ว ผมตระหนักได้ว่าเพลงที่ผมฟังอยู่นั้นไพเราะเพียงไร ผมนึกถึงละครที่ผมดูผ่านมา และนึกถึงหนังเรื่องต่อไปที่กำลังวางแผนจะไปดู นึกถึงหนังเรื่องที่ผมชอบ
ผมตระหนักได้ว่าท่ามกลางความน่าเบื่อหน่ายจำนวนมหาศาลที่เราต้องทนอยู่กับมันทุกวัน มีเรื่องราวที่สวยงามและน่าจดจำมากมายที่ยังคงอยู่กับเราตลอดเวลา เพียงแต่เราเลือกที่จะมองข้ามมันไป
เป็นเรื่องง่ายที่เราจะเพ่งอยู่กับความทุกข์ตรงหน้า ทั้งที่มีเรื่องที่สร้างความสุขมากมายอยู่รอบตัวเรา
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นนะ….
เรามีพื้นฐานชีวิตอยู่บนความสุข อยู่เสมอ
พอเจอความทุกข์ ถึงแม้จะเล็กน้อย แต่มันก็เข้าตามากกว่า…
แต่พอเจอนานๆ…ก็จะกลับกันกระมัง
ป.ล.พี่ลิ่ว ไอ้ที่ลงชื่อจดหมายเปิดผนึกน่ะครับ จะดูยังไงว่ามีกี่คนแ้ล้ว?
น่าจะเหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้
คงเพราะเรายังควบคุมจิตใจได้ไม่ดีพอมั๊งครับ จิตเราเลยพาเราคิดไปในทางทุกข์
ถ้าเราฝึกจิตเราให้นิ่ง ฝึกรู้ทันจิต รู้ทันความคิด ไม่ปล่อยให้จิตหลงไปกับความทุกข์
ตัดมันได้ก่อนที่มันจะเริ่มเกิด เมื่อนั้นเราก็ไม่ต้องมาทุกข์
เพราะทุกข์ก็เกิดที่จิตนั่นเอง
จริงๆแล้ว เราก็คิดถึงทั้งความทุกข์และความสุขพอๆกันนั่นแหละ
ก็แค่ “รู้สึก” เฉยๆ ว่าทำไมถึงจดจ่อกับความทุกข์มากกว่าเท่านั้นเอง
:)
เหมือนในเรื่อง world trade center เลยครับ
วันนั้นคนทั้งโลกได้เห็นความชั่วร้าย.. แต่ชายสองคนนี้กลับเห็นสิ่งอื่น
จนกว่าเราจะได้อิสระภาพทางการเงินครับ เมื่อนั้น เราจะได้พบโลกในรูปแบบใหม่ที่เราไม่เคยได้สัมผัส