แอปดาวเหนือ

วันนี้นักข่าวมาถามเรื่องแอปดาวเหนือ โดยรวมๆ ก็ตอบไปหลายประเด็นแต่คิดว่าคงได้ออกบางส่วน (ปกติของทีวีที่เวลาจำกัด) เอามารวมๆ ไว้ตรงนี้อีกที

  • ปัญหาการเปิดเผยข้อมูลเกินจำเป็น ส่งผลต่อความเป็นส่วนตัวของข้อมูล เป็นปัญหาของกระบวนการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐโดยทั่วไป มุมมองผมคือการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของนักการเมืองก็เป็นปัญหา (อันนี้ไม่ได้พูด) การเปิดเผยเกรดนักเรียนนักศึกษาขึ้นเว็บ การเปิดเผยข้อมูลผู้เข้าสอบ ฯลฯ กระบวนการพวกนี้ไม่มีการตรวจสอบผู้เข้าดูข้อมูลที่ดีพอ หลายครั้งเปิดเผยข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องมาด้วย ตัวอย่างเช่นการตรวจสอบข้อมูลผู้ไม่ไปเลือกตั้ง กลับเปิดข้อมูลวันเกิดมาด้วย จะเปิดทำไม และประวัติการไปหรือไม่ไปเลือกตั้งควรเป็นข้อมูลส่วนตัวของผมเองที่คนอื่นที่รู้หมายเลขบัตรประชาชนผมไม่ควรอ่านได้โดยอัตโนมัติ
  • ความคุ้มค่าในการทำแอป อันนี้ผมตอบไปว่าไม่รู้ กกต. ควรมีข้อมูลว่ามีปัญหาจริงหรือไม่ มีคนจำนวนมากหาหน่วยเลือกตั้งไม่เจอหรืออย่างไรจึงต้องอำนวยความสะดวกเพิ่มเติม ถ้ากกต. มีข้อมูลส่วนนี้ ว่ามีคนจำนวนมากหาหน่วยเลือกตั้งไม่เจอจริงๆ และในคนกลุ่มนั้นมีจำนวนมากพอที่จะลงทุนทำแอปก็อาจจะคุ้มก็ได้ แต่กกต. ควรตอบคำถามว่ากระบวนการตัดสินใจทำแอปมีที่มาอย่างไร ทำไมจึงคิดว่ามันคุ้มค่า
  • การเปิดเผยข้อมูล กระบวนการเปิดเผยข้อมูลพร้อมใช้สำหรับคนทั่วไป (ทำแอป ทำโปสเตอร์ ยิงโฆษณา ฯลฯ) เป็นเรื่องทำได้ และควรทำในหลายกรณี แต่ข้อมูลรัฐที่ใช้เงินภาษีจัดทำมาควรเปิดเป็นข้อมูลเปิดให้คนอื่นๆ ไปใช้งานได้ทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข เช่นกรณีนี้กกต. ควรเปิดข้อมูลหน่วยเลือกตั้งและพิกัดทั้งหมดโดยไม่มีข้อมูลส่วนตัวประชาชน ออกมาเป็นไฟล์ที่คอมพิวเตอร์เข้าอ่านได้ง่าย เช่น XML, JSON, CSV (ชื่อฟอร์แมตไม่ได้พูด จะ geek เกิน) แนวทางนี้ควรถูกวางให้กับหน่วยงานทุกหน่วยงานที่ใช้ภาษีเก็บข้อมูลมา เช่น พิกัดโรงงาน, ระดับน้ำในคลองของกทม. ฯลฯ
 

ผู้ใหญ่

สมัยเรียนเริ่มเรียนปริญญาตรีไม่นาน วันหนึ่งผมได้รับโทรศัพท์ตอนตีสอง เพื่อนคนหนึ่งโทรมาแล้วบอกสั้นๆ ว่าคนที่มันชอบตกลงเป็นแฟนกับคนอื่นไปแล้ว แล้วมันก็เงียบ

ผ่านไปหลายปีมันก็มีช่วงเวลาผมเองก็มีเวลาทำอะไรแปลกๆ แบบนั้นบ้างเมื่ออารมณ์ขึ้นสุดลงสุด ทำเอาคนรอบข้างกังวลอยู่หลายครั้ง

แล้วมันก็ผ่านไป ช้าบ้างเร็วบ้าง สุดท้ายมันก็ต้องกลับมาเรียน กลับมาทำงาน

แล้วมันก็ผ่านไป

วันหนึ่งที่มีเรื่องเข้ามากระทบอีก รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองทำตัวแทบจะปกติ ไม่มีความอยากบอกใคร ไม่มีความอยากให้ใครมาสนใจ แค่อยากให้ทุกอย่างเหมือนวันปกติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เพราะเดี๋ยวมันก็ผ่านไป

 

Streaming #2

วันก่อนดูช่อง Arirang ไปถึงข่าวบันเทิง เจอว่าสัมภาษณ์ดาราที่เล่นละครอยู่ ถามทั่วไปเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง แนวทางการดำเนินเรื่อง ฯลฯ แต่สะดุดที่มันเป็น “Web Drama” เพิ่งเคยได้ยินเลยมานั่งกดดูว่ามันคืออะไร

  • เจอใน Viki ปรากฎว่ามันหลายเรื่องเหมือนกัน (กดดูสองสามเรื่องแล้ว error หมด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลินุกซ์หรือดูในไทยไม่ได้) มาจากเกาหลี จีน มาเลเซีย
  • ลองหาใน Wiki เจอเรื่อง We Broke Up ลอยขึ้นมาเรื่องแรกถัดจากหน้า Web Series สะดุดที่ตารางออกอากาศ สองตอนแรกฉายวันเดียวกัน ที่เหลือเว้นสองวันบ้าง วันเดียวบ้าง สิบตอนจบภายในไม่ถึงเดือน
  • คิดถึงตอนที่แชมป์เขียนถึงรายการสำหรับ Netflix ว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงในการจัดวางแต่ละตอนเอง ไม่ต้องยืดหรือหดเนื้อหาขัดใจผู้กำกับเพราะต้องวางลงไปในผังรายการ พอเป็น Streaming แล้วทำมาแล้วคิวว่ายาวดีกว่า ก็ยืดไปเลยตามใจชอบ สั้นดีกว่าก็หั่นสั้นๆ หน่อยปล่อยเป็นตอนออกไปก่อนได้ แถมแนวทางการทำก็ต่างออกไป ไม่ต้อง flashback มาก คนดูไม่ได้โดนทิ้งช่วงที่ละสัปดาห์เหมือนแต่ก่อน ตารางปล่อยแต่ละตอนไม่ได้นานมากเหมือนทีวีเดิมๆ
  • ส่วนที่น่าจะต่างจากทีวีแน่ๆ ละครมันสร้างก่อนแล้วปล่อยได้ตามใจชอบ ถ้าเป็นเรื่องรองแล้วเจอรายการอื่นชนก็ยกของหนี ปรับตารางไป “ปล่อย” เวลาอื่นได้
  • คิดว่าในไทยใกล้แล้ว ที่จะเริ่มทำได้ แต่อาจจะ production ใหญ่ได้ไม่เท่า รายการทีวีไทยเรตติ้งสูงๆ ตอนนี้อยู่ที่ 6.4 ล้านคน ในไทยนี่กลุ่มคนแคสเกมนี่ 3-6 แสนวิวต่อวิดีโอยาวๆ เป็นชั่วโมงกันได้สบายๆ ในแง่คนดูน่าจะพอได้แล้ว ในแง่ว่าจะมีคนซื้อโฆษณาจนคุ้มทำละครไหมนี่ยังต้องดูวงการโฆษณาปรับตัว คนต้องรอมีคนใจกล้าทดลอง เช่นเด็กนิเทศทำละครสิบตอนแล้วดังสักเรื่อง
  • ในแง่เทคโนโลยี อินเทอร์เน็ตไทยยังไม่พร้อมจะมาแทนที่ทีวีนัก วิดีโอระดับ SD (360p-480p) ยังต้องการ bandwidth 400-1,000 kbps ชั่วโมงนึงกิน 250MB  ขึ้นไป คนกลุ่มใหญ่ยังใช้เน็ตไม่จำกัด  199 บาท (แถมที่บ้านยังไม่ค่อยมี land line กัน) ทั้งเดือนดูได้ตอนเดียวก็ติด FUP แล้ว คงต้องรอ FUP มันขยับไปสูงกว่านี้เป็น 500kpbs หรือไม่ค่า package ซื้อเพิ่มก็ถูกมากกว่านี้จนคนซื้อได้ง่ายๆ ไม่คิดมาก
  • ถึงตอนนั้นฐานคนดูรวมๆ น่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับทีวีเดิมๆ ตอนนั้นก็ไม่ใช่ content เฉพาะสำหรับ “ชาวเน็ต” อีกต่อไป กลายเป็นรายการทีวีเดิมๆ นี่ล่ะ แต่เอามาฉายในเน็ตแล้วมีอิสระกว่า
 

Arirang

ดู YouTube แล้ววันนึงมันแนะนำวิดีโอช่อง ARIRANG มาให้ ตอนแรกคิดว่าเป็นช่องเกาหลีเหนือเพราะคิดถึง เทศกาล Arirang ในเปียงยางปรากฎว่าไม่ใช่ มันเป็นช่องภาษาอังกฤษของเกาหลีใต้ที่ได้รับเงินทุนจากรัฐบาลผ่านมูลนิธิอีกที (อิสระประมาณนึงแต่ก็เกี่ยวกับรัฐบาล อาจจะบอกได้ว่าประมาณ TPBS)

กดดูอยู่สองสามชั่วโมง ดีเกินคาด ช่วงบันเทิงก็ไม่มี (หรือผมอาจจะยังไม่เห็น) ข่าวส่วนตัวอะไร มีสัมภาษณ์ดารานักร้องเกี่ยวกับผลงานใหม่ ไล่ประวัติว่าดังมาจากไหนทำไมน่าสนใจ ข่าวการเมืองสังคมก็นำเสนอประเด็นสังคม พูดถึงกฎหมายใหม่เรื่องการสนับสนุนการบริจาคในเกาหลีใต้ว่ามีประเด็นสนับสนุนหรือโต้แย้งกันยังไง เกมโชว์เป็น quiz show ถามความรู้ทั่วไปสลับกับคำถามขำๆ (ประเภทว่าแฟนเก่าผู้ร่วมรายการคนไหนแย่สุด) มาหยุดดูเรื่องสุดท้ายเป็นสารคดีพานักเรียนสี่คนไปทัวร์ชายแดนเกาหลีเหนือ-จีน

ทำดีจนคิดว่าเปิดบน Chromecast ทิ้งเอาไว้ในห้องน่าจะดีกว่าเปิดทีวีไทย