The Impossible State

red carpet party dresses

ดองมาหลายปี และตอนนี้ก็ยังอ่านไม่จบ (แต่คืบหน้าไปมาก) กลับมาอ่านเพราะไปอ่านคอมเมนต์หนังสือ In Order to Live แล้วมีคนวิจารณ์ว่าหนังสือเรื่องราวของคนที่หนีออกมาจากเกาหลีเหนือมีประเด็นหลายอย่างที่ไม่ควรใช้เป็นข้อมูลหลัก เช่น ความจำผิดพลาดหรือคนเล่าอาจจะโม้ (คนดังๆ เล่าเรื่องออกทีวีไม่ตรงก็กันเองก็หลายครั้ง) และเรื่องราวก็เป็นช่วงเวลาจำกัด คนเหล่านี้มักออกมาจากเกาหลีเหนือในยุคที่แย่มากๆ ช่วงปี 199x ทำให้ภาพมันแย่กว่าความเป็นจริง ข้อมูลช่วงหลังก็ชี้ว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือเองปล่อยตลาดให้ดำเนินไปได้มากขึ้น ทำให้ความเป็นอยู่โดยรวมไม่ได้แย่ขนาดนั้น

The Impossible State เล่าภาพกว้างได้ดีกว่ามาก (จากที่อ่านมาครึ่งเล่ม) หนังสือเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการแยกประเทศ เล่าถึงภาวะที่ทำให้ผู้นำเกาหลีเหนือตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ภาพที่เรานึกไม่ค่อยออกอย่างช่วงเวลาที่เกาหลีเหนือเจริญกว่าเกาหลีใต้ ระบบแจกจ่ายอาหาร (public distribution system – PDS) ทำงานเต็มที่ มีอาหารเหลือๆ แจกให้ประชาชน และการที่ผู้นำแสดงความคิดเห็นในเชิง “เสรี” เช่นการประกาศนโยบายแจกจ่ายที่นา

ภาพที่หนังสือให้มาเลยไม่ใช่ภาพง่ายๆ ว่าเป็นรัฐชั่วร้ายหรืออะไร แต่แสดงภาพว่า “เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง” แต่ถ้าใครถามหาความเป็นกลาง (ยังไงถึงเรียกว่าเป็นกลาง) ก็คงต้องบอกว่าคนเขียนทำงานให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ หนังสือพยายามอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมผู้นำในแต่ละยุคถึงตัดสินใจแบบนั้น และการตัดสินใจเช่นนั้นทำให้ประเทศถดถอยอย่างต่อเนื่องได้อย่างไร

ยิ่งอ่านไปยิ่งคิดว่าควรอ่านก่อนหนังสือพวกความทรงจำหลายๆ เล่ม

 

The Fault in Our Stars (spoil)

GRADUATION RED CARPET DRESSES

  • นิยาย John Green เล่มที่สาม (อ่านหนังสือไม่เข้ากับหน้าตัวเอง) สองเล่มแรกคือ Paper Town และ Looking for Alaska
  • โทนเรื่องคล้ายเดิมคือความอึดอัดของวัยรุ่น รอบนี้หนักกว่ารอบอื่นคือเป็นวัยรุ่นอายุสั้นเพราะเป็นมะเร็ง
  • ฉีกเรื่องไปอีกหน่อยด้วยการเล่าจากมุมผู้หญิง (สัมภาษณ์ท้ายเรื่องบอกว่าเป็นครั้งแรก) และทั้งสองคนเป็นแฟนกันจริงจัง อย่างน้อยก็ช่วงนึง
  • เรื่องราวเลยไม่ใช่การค้นหาอีกคนแบบสองเล่มแรกที่เคยอ่าน แต่มีช่วงเวลาด้วยกันนาน (เมื่อคิดเป็นหน้าหนังสือ)
  • ประเด็นการเข้าไปอยู่ในความคิดของคนป่วยน่าสนใจดี และสัมภาษณ์คนเขียนท้ายเล่มก็พูดถึงเรื่องนี้ การอ่านนิยายแบบนี้สนุกกว่าหนังสือจริงจังอย่าง The Reason I Jump ที่เคยอ่านอยู่พอตัว
  • โดยรวมๆ แล้วชอบกว่าสองเล่มแรกที่เคยอ่าน ก็สมควรแล้วที่ได้สร้างเป็นหนัง (ยังไม่ได้ดู)
 

Threat Vector (Spoil)

  • ไม่ได้อ่าน Tom Clancy มานาน และอ่านข้ามไปข้ามมา เรื่องล่าสุดที่อ่านน่าจะ The Cardinal of Kremlin
  • เนื้อเรื่องบรรยายถึงสงครามในอนาคตที่มีห้ามิติ (น้ำ, บก, อากาศ, สายลับ, และไซเบอร์) ไซเบอร์สำคัญสุด
  • เรื่องราวของไซเบอร์แม่นยำอย่างน่าทึ่ง เมื่อคิดว่าหนังสือมันออกมาก่อนยุค Snowden และ Hacking Team (หนังสือออก 2012 Snowden เปิดข้อมูล 2013) ที่เรามีข้อมูลให้ศึกษามากขึ้นมาก
  • ที่เวอร์ไปมากคือใครเจอ 0-day โดยจีนเก็บหมด ข้อมูลช่วงหลังโดยเฉพาะ Hacking Team แสดงให้เห็นว่ามูลค่ามันไม่ได้มากขนาดนั้น ซื้อกันดีๆ ก็ได้ แค่แพงหน่อย และมีคนคุ้ยช่องโหว่อยู่ไม่น้อย
  • ฉากต่อสู้ยังได้อารมณ์ Tom Clancy อยู่ แม้จะเป็นคนเขียนร่วม (Mark Greaney) แล้ว สเปคเครื่องบิน พิสัยบิน สเปคปืนมาเต็ม
  • ฮาร์ดดิสก์เยอรมันนี่มั่ว ให้สมจริงไม่ไทยก็น่าจะจีน
  • Master Boot Record ก็มั่ว ใครจะเอาฮาร์ดดิสก์เข้า data center โดยไม่ล้างทิ้ง? ทำจริงคงต้องใส่เฟิร์มแวร์
  • USB เสียบมือถือก็ดูมั่วๆ อีก เขียนให้สมจริงอาจจะต้องใช้ช่องโหว่ Firewire แต่อันนี้พอให้อภัยได้เพราะคนเขียนไม่ลงรายละเอียด ละไว้ว่ามีช่องโหว่ที่เราไม่รู้
  • เรื่องทางเทคนิคพอให้อภัยกันได้ แต่ที่แย่คือตอนจบ จบปาหมอนมาก
  • สหรัฐฯ ส่งเครื่องบินไประเบิดตึกกลางเซี่ยงไฮ้ นอกจากไม่น่าจะปิดสงครามได้แล้ว ยังน่าจะเป็นชนวนยกระดับสงครามไปเป็นสงครามเต็มรูปแบบ
 

ติ่ง, first time

CaEQ-fjUMAASHpj

  • จำไม่ได้แล้วว่าคิดยังไงถึงไปดู แต่รู้ว่าซื้อเองไม่มีทางได้ดู เลยฝากเพื่อนๆ น้องๆ ใน TL
  • วันจองลองกดเองทีนึงด้วย แล้วเข้าไปได้ แต่เลือกที่นั่งซ้ำ พอเด้งออกมาเว็บล่ม กลับเข้าไปไม่ได้อีกเลย
  • สุดท้ายฟอร์ดกดให้ได้ ก็โอเค ได้ดูก็ดี
  • วันจริงไปตั้งแต่บ่ายสามให้ได้ที่จอดฟรีตรงลานตรงข้าม แล้วไปนั่งเขียนบทความที่ค้างไว้ต่อ
  • แต่งตัวไม่เข้ากับบรรยากาศใดๆ ใส่ยืนและเสื้อ Go Lang นั่งเขียนบทความ FinTech ถึงสี่โมงกว่า
  • เข้าคอนเสิร์ตไปก็ไม่มีแท่งไฟ…. มองซ้ายมองขวาแล้วเออ ไม่เข้าพวกจริงๆ ด้วย
  • และร้องเพลงอะไรไม่ได้สักเพลง มาฟังอย่างเดียว
  • เป็นคอนเสิร์ตที่ไม่ยาวมาก สองชั่วโมงครึ่งไม่มีพัก
  • คิดว่าดูคอนเสิร์ตกับการแสดงสดมาก็ไม่น้อย แต่รอบนี้คนในฮอลล์นี่ … “มีอารมณ์ร่วม” สูงมาก ผมเป็นหลุมดำ
  • production น่าจะดีที่สุดเท่าที่เคยดูคอนเสิร์ตมา ไฟ แสง พร็อบ มาเต็ม พร็อบเยอะกว่านี้คงเป็นละครเพลงแล้ว
  • ระบบเสียงมีพลาดบ้าง เสียงเบาดังผิดคนผิดจังหวะ ไม่รู้ว่าเพราะ sound engineer มิกซ์ผิดหรือไมค์หลุด แต่ไม่สำคัญนัก เพราะคนข้างหลังคุณจะอินและร้องจนเพลงบนเวทีเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่ง
  • แต่ไม่มีปัญหาอะไร เพราะมันไม่ใช่การไป “ฟังเพลง” แต่เป็นรายการ entertain รวมๆ บรรยากาศมันได้ คนบนเวทีเล่นด้วย โปรดักชั่นส่ง มันก็สนุกดี (แต่ผมก็ยังเป็นหลุมดำของคอนต่อไป)
  • จุดรำคาญที่สุดของคอนคือพอคนข้างหลังกรี๊ดแล้ว “หูลั่น” (ในหูผมเอง) อาจจะต้องไปหาหมอแล้ว
  • มีโอกาสอีกก็คงไปดูอีกล่ะ