OSX

วันนี้นั่งอ่าน Dive into Mark (ไม่ใช่มาร์ค Blognone) ที่เขียนตอบอีกบล็อกหนึ่ง แล้วนั่งขำ เลยมานึกดูว่ามันก็เป็นเรื่องแปลกดีเหมือนกันที่ OSX นั้น ถ้าคุณไม่ชอบมัน คุณจะเกลียดมัน

ผมเองเคยจับ OSX ตัวแรกๆ อยู่แค่สัปดาห์เดียวเมื่อต้องทำงานกับมันบางอย่าง ข้อดีอย่างหนึ่งในการทำงานครั้งนั้นคือการที่เลิกอิจฉาคนใช้แมคไปอีกพักใหญ่ๆ เพราะรู้ว่ายังไงแล้วก็ไม่คิดจะไปซื้อใช้เองแน่ๆ

พอดีวันนี้มีเรื่องใน Blognone เข้ามา เลยยิ่งงงว่าแอปเปิลกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ สำหรับวินโดวส์นั้นไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่อย่างไร ก็ต้องยอมรับว่าวินโดวส์เป็นระบบปฏิบัติการที่รองรับภาษาไทยได้ดีมาก ข้อนี้ต้องขอชมไมโครซอฟท์ที่ลงทุนลงแรงกันมาเป็นเวลานาน

แต่สำหรับแอปเปิลนั้น ก่อนหน้านี้ผมลองไปใช้งานดูในงานคอมแล้วก็พบว่า น่าประทับใจดีพอสมควร แต่การที่แอปเปิลเริ่มใส่ใจกับภาษาไทยน้อยลงเรื่อยๆ ในช่วงหลังทำให้ชวนคิดว่าแอปเปิลกำลังทำอะไรกันแน่

หรือแอปเปิลจะลอยลำภาษาที่ยอดขายไม่สูงพอแล้วปล่อยให้ซอฟต์แวร์เฮาส์ในบ้านเราไปแฮกกันเองต่อไป….

 

ด้วยรักและ Ubuntu

แม้จะขึ้นปีสองแล้ว แต่ Ubuntu ยังคงตามรับน้องผมไม่หยุดหย่อน

  • Sound Card เจ๊งไปเป็นรอบที่สี่ที่ห้าแล้ว แต่รอบนี้แก้ได้ด้วยการใส่ option ใน /etc/modprobe.d/alsa-base อย่างเดียว ไม่ต้องคอมไฟล์ alsa ใหม่
    • แต่ยังไม่จบ มีคนระบอกว่าถ้าใช้ model=laptop-eapd แทน model=3stack เสียงจะดีเหมือนตอนใช้วินโดวส์
    • ลองแล้วดีจริง แต่ปรากฏว่ามันปิด speaker ไม่ได้ – -” อ่านไปอ่านมา มีคนบอกว่าต้อง patch alsa แล้วคอมไพล์ใหม่ อีกแล้ว!!!!
    • คอมไพล์แล้ว alsa เจ๊งไปเลย driver โหลดไม่ขึ้น มีคนบอกอีกว่าให้ลง kernel ใหม่เป็น linux-ubunut-modules
    • ลงใหม่บูตปั๊บไวร์เลสกลับบ้านทันที เนื่องจากไม่มี Restricted Driver ทางเดียวคือบูตกลับไป kernel เดิมแล้วกลับไปลงใหม่
    • ตอนนี้ใช้ linux-ubuntu-modules แล้วแต่ยังไม่กล้าลง alsa ใหม่ มันหลอนๆ (คอมไพล์แล้ว รอ install อย่างเดียว..)
  • ความหวังอันสูงสุดในการใช้งาน Gutsy คือการใช้ Dual Monitor ที่รุ่นนี้โฆษณามาดิบดีว่ามีตัว config เป็น GUI มาให้ ใช้งานดั่งใจนึก
    • ลงปั๊บก็บอกกับตัวเอง “กูนึกแล้ว” (ว่ามันต้องไม่เวิร์ค) ด้วยเหตุผลที่ไม่รู้มีใครบอกได้ตัวคอนฟิกที่มากับ Gutsy ไม่ให้ผมใช้งานจอที่สอง
    • ว่าแล้วก็ยังมีความหวังกับ URandR อ่านจาก Planet Ubuntu มานาน ก็ได้เวลาลอง
    • ทายซิว่าผลเป็นยังไง….
    • สุดท้ายก็มีแต่ command line ที่เข้าใจเรา เล่นเองกับ xrandr ครับพร้อมการคอนฟิก XOrg ไปอีกสองสามรอบ
    • ฟังดูง่าแต่ X บึ้มไปประมาณสามรอบได้ BulletProof ไม่ทำงานครับ – -” ต้องเข้าไปดึง xorg.conf ตัวเก่ามาทับเอง รอดตายไป….
    • วิบากกรรมอื่นๆ ก็มีเช่น intel GMA 950 จะไม่สามารถใช้ Hardware Acceleration ได้ถ้าขนาด Virtual Screen ใหญ่กว่า 2048×2048 ผลคือเราต้องเอาจอที่สองไปวางไว้ข้างล่าง
    • ยัง… ยังไม่จบ ผลล่าสุดคือ Gnome-Panel มันดันไม่รักดีไม่ยอมอยู่จอหลัก หลบไปอยู่จอเล็ก ตอนนี้กำลังง้องอนให้มันกลับมาอยู่

ประมวลภาพอยู่ด้านล่างครับ

หน้าจอ Config ของ Gutsy Gibbon ที่รอคอย

URandR

xrandr เวิร์คเกินคาด

หน้าจอปัจจุบัน – -“

ถึงจะทำเราเจ็บปวดแค่ไหนก็ยังยืนยันจะใช้ต่อไปครับ :P

 

CSS วิบาก

เริ่มต้นเรื่องแนว Comp. Only ในเว็บนี้กันด้วยประสบการณ์แก้ CSS แล้วกัน

ปรกติผมเป็นคนทำเว็บสวยได้แย่มาก อย่างเว็บนี้เองก็ไม่มีอะไรมาก โหลดๆ ของคนอื่นที่เค้าทำแจกมาลงแล้วใช้งานเลย พอดีช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาได้เข้าไปช่วยงานที่ IBS Thai ซึ่งโดยทั่วไปแล้วก็ไม่มีอะไรน่ากลัว ลง Drupal ทีเดียว ลงโมดูลตามใจชอบอีกสามสี่โมดูล จัดโครงสร้างเว็บอีกหน่อย ตัวเว็บนั้นเรียกได้ว่าเสร็จตั้งแต่อาทิตย์แรกที่เข้าไปรับงานมา ส่วนงานทำสวยนั่นยกให้มุกไป เพราะรายนั้นประวัติทำเว็บสวยดีกว่าผมเยอะ

ความสนุกเริ่มขึ้นเมื่อหนึ่งใน Requirement ที่ได้รับมาคือเมนู Drop-Down ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่มีปัญญาทำเองครับ ยังดีที่มีคนทำโมดูล Nice Menus มาให้เรียบร้อยแล้ว แม้จะบอกว่าอยู่ในระดับ Experimental แต่ยังไงคงดีกว่าเขียนใหม่เองแน่นอน ว่าแล้วก็ไม่รอช้า ติดตั้งในทันใด

กระบวนการต่อจากนั้นเป็นการ Customize ให้เมนูนั้นเข้ากับตัวเว็บครับ ซึ่งก็สนุกสนานดีเพราะสุดท้ายแล้วมีบางส่วนต้องใช้ jQuery มาเพื่อนำ DOM Parser ของมันมาใช้ในการทำสวยงามด้วย ตลอดกระบวนการนั้นได้รับความช่วยเหลือจาก Firebug เป็นอย่างดี รอดตายมาได้หลายต่อหลายครั้งก็เพราะมัน

สุดท้ายมาอับจนปัญญาเอาตรงนี้ครับ

จริงๆ ก็ไม่มีอะไรมาก แค่มีการกำหนดสี Background เอาไว้เมื่อมีเมาส์ Hover ไปตรงลิงก์ แค่หา CSS ที่เกี่ยวข้องแล้วแก้ออกก็น่าจะหายไป ปัญหาคือผมไม่ได้กำหนด และผมไม่รู้ว่ามีใครไปกำหนดไว้ตรงไหน

ถ้าได้ศึกษา CSS มาบ้างจะรู้ว่ามันมีสิ่งที่เรียกว่า Pseudo Class เช่น “class_name:hover” ใน CSS ที่เอาไว้ทำหน้าที่กำหนดสีแบบนี้โดยเฉพาะ ความลำบากมันบังเกิดเมื่อผมพบว่า Firebug มันไม่รองรับ Pseudo Class เลยงานนี้เลยต้องนั่งงมกันเองว่าเจ้า CSS ที่ว่านี้มันมาจากตรงไหนกัน

วิธีการแก้ปัญหาแรกที่คิดออกเลยคือเอา jQuery มายิงสี Background ตอนทำ Hover ให้เปลี่ยนสีไปก่อนเลย เป็นการซ่อนปัญหาไว้ใต้พรมที่ดูน่าจะได้ผลดีที่สุดแล้ว แม้จะรู้ว่าไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดี แต่ผมก็ไม่รอช้าที่จะลอง แต่ถ้ามันเวิร์คคงรอไปอีกนานที่จะกลับมาแก้… :P

$(".menu-parent-id-2 li").hover(function(){ $(this).css(background:"#8FAF0F"); },function(){ $(this).css(background:"#000000"); }

งานนี้ลองเสร็จเว็บก็เละในทันที….

กลับไปนอนคิดอีกคืน ผลที่ได้คือในเมื่อ Firebug มันบอกไม่ได้ว่าสีนี้มาจากไหนก็ไม่ต้องรอมันบอก หาเองโลด เลยต้องหาที่พึ่งใหม่นั่นคือ


ColorZilla นั่นเอง….

ความสนุกยังไม่จบลงแค่นั้น หลังจากที่ลง ColorZilla แล้ว เมื่อลองใช้งานดูก็พบว่า


มันใช้ไม่ได้ครับพี่น้อง….

สุดท้ายก็มีแต่ The GIMP ที่เข้าใจเรา

เมื่อได้ค่าสีแล้วก็พบว่าสีแบบนี้มีใช้ในธีม Stylized Beauty ที่มุกเอามาใช้เป็น Base ในการสร้างธีม ก็ลบบรรทัดนั้นออกไปก็เป็นอันเรียบร้อย

และแล้วเมนูก็เสร็จตาม Requirement…..