Ban

ผมขอเสนอคมช. ออกมาตรการตัดไฟฟ้าทั่วประเทศ เท่ากับปิดการสื่อสารทุกชนิดไปโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาไปคุกคามสื่อ ปิดเว็บโน้นเว็บนี้ แถมยังสามารถแบนการโทรศัพท์ผ่านมือถือได้อีกต่างหาก เจ๋งซะไม่มี

ประชาชนจะได้ใช้ชีวิตแบบพอเพียง อยู่กับตะเกียงเจ้าพายุและเทียนไข ตื่นเช้าก็ออกไปเลี้ยง^-^อาบน้ำในคลองแบบอ้ายขวัญอีเรียมแห่งทุ่งแสนแสบ โรแมนติคซะไม่มี
203.155.120.xxx

 

ปิดหู ปิดตา ปิดปาก#3

นักข่าวถูกครอบงำ ทำให้การทำงานในเวลานี้เกิดคำถาม ว่าจะเสนอได้ไหม เสนอไปแล้ว คมช.จะว่ายังไง
นายเสถียร วิริยะพรรณพงศา
นักข่าวสำนักข่าวเนชั่น

โดยส่วนตัวไม่เชื่อว่าความเป็นกลางจะปฏิบัติได้จริง เพราะสื่อแต่ละสำนักแต่ละองค์กรมีแนวทางของตัวเอง และด้วยความแตกต่างข้อนี้เองที่ทำให้สื่อมีความหลากหลาย คนสามารถรับรู้ได้เลือกได้ว่าสำนักไหน ฉบับไหนให้ความสำคัญกับอะไร แต่หากรัฐบาลมาจำกัดการรับรู้ โดยจะทำให้สื่อทั้งหมดเลือกนำเสนอบางสิ่งได้และบางสิ่งต้องห้าม ก็เท่ากับต้องการทำให้สื่อเหมือนกันภายใต้การกำกับของรัฐ ผู้รับสื่อไม่มีทางเลือก
ฟ้ารุ่ง ศรีขาว
นักข่าวภาคสนาม หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

ที่มา – ประชาไท

 

ปิดหู ปิดตา ปิดปาก#2

ถ้าไม่เชื่อฟังก็ให้ตัดรายการออกไปจากสถานี ถ้าท่านใช้วิจารณญาณไม่เหมาสม ผมจะใช้วิจารณาณของผมช่วยท่านบริหารงานเองถ้ามีความจำเป็นและถ้ามีเหตุการณ์ อย่างกรณีวันที่ 31 ธันวาคม เราได้เตรียมการที่จะดำเนนการขั้นเด็ดขาดไว้แล้ว ใครจะว่าเผด็จการก็ว่าไป การที่คนทำผิดแล้วยังไม่สำนึกอีกก็ต้องใช้ไม้แข็ง
น.พล.อ.วินัย ภัททิยกุล
เลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)

ถ้าสื่อให้ความร่วมมือก็โอเค แต่ถ้าไม่ให้ความร่วมมือ เราก็ไม่รับอะไรจากพวกท่านเท่านั้นเอง การขอความร่วมมืออยู่ที่ความสมัครใจของผู้ให้ ไม่ได้ลิดรอน บอกแล้วว่า เป็นการขอความร่วมมือ เราพูดกันตรงๆ แบบทหาร ว่า เราขอความร่วมมือจากทุกท่าน ท่านจะเห็นว่าควรให้หรือไม่ควรให้ก็แล้วแต่จะพิจารณา ช่วยกรุณาดูเรื่องความสามัคคี สมานฉันท์ คงบังคับใครไม่ได้ เพราะสังคมเรา ประเทศเราเป็นประชาธิปไตย และในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ก็ให้สิทธิเสรีภาพกับสื่ออยู่แล้ว
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน
ผู้บัญชาการทหารบก
ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)

 

ปิดหู ปิดตา ปิดปาก

ใครงงเข้าไปอ่านประชาไทกันก่อนที่น่าสนใจคงเป็นข่าวนี้ กับข่าวนี้

โดยส่วนตัวแล้วผมเป็นคนสนใจการเมืองน้อยกว่าค่าเฉลี่ยคนทั่วๆ ไป และหลีกเลี่ยงที่จะพูดคุยการเมืองนอกจากคนที่เชื่อใจได้ว่าจะไม่เอาไปเป็นอารมณ์จริงๆ ในเรื่องการเมืองว่าใครถูกหรือผิดอย่างไรในการทำรัฐประหารจึงอยู่นอกความสนใจโดยทั่วไปของผม แต่ที่ผมให้ความสนใจมากๆ คือความเสรีของสื่อ

ผมเบื่อหน่ายสื่อไทยในยุคปัจจุบันที่ขาดความเป็นกลาง ความรวดเร็วของข่าวอยู่ในระดับย่ำแย่ โดยเฉพาะความสามารถในการตรวจสอบข่าวจากผู้รู้ต่างๆ เรื่องที่น่าจะเห็นตรงกันเป็นส่วนใหญ่คือ เราต้องการสื่อที่เสรีกว่านี้ ทำงานได้ดีกว่านี้ เป็นมืออาชีพมากกว่านี้ และโดยเฉพาะ อิสระมากกว่านี้

ไม่ใช่เรื่องปรกติ และไม่ใช่เรื่องดีเมื่อผู้มีอำนาจเกิดลงมาขอร้องกับสื่อต่างๆ ให้ทำงานอย่างนั้นอย่างนี้ตามแต่ใจของตน หากคำขอร้องนั้นเป็นผล มันไม่ได้แสดงอะไรนอกจากบ้านเมืองของเรากำลังถอยหลังลงคลอง ข้อเท็จจริงคือคนทำงานสื่อก็ไม่ได้มีอำนาจอะไรเหนือกฏหมาย หากมีการเสนอข่าวที่ขัดต่อกฏหมายก็เป็นเรื่องนี้น่าจะถูกต้องหากมีการดำเนินการตามกฏหมาย

แต่การใช้อาศัยความมีอำนาจ มาขอร้องในเรื่องที่เกินขอบเขตกฏหมายเช่นนี้มันแสดงถึงอะไรกัน