Value…

Once, not long time ago, one of my boss told me that if I keep trying on anything, I would be certainly achive its. He told me that anything did apply to this rule, even love.

I keep thinking about this for a while. Does this true? Should I proof its? Does it proofable?

But the extreme question is “How would it be if it is true?”. How would we feel if we know that we will fall in love with someone who try hard enough to make we love them?

If it is true, I can’t imagine the human look like others things more than a large equation with multibillion variables. We are just a few variable in it. It just like that, if someone give a try to us to the threshold then we love them.

What is the meaning of life if everything in life just simple as that? For our life are just deterministic things that would be predictable in every aspect.

I’m afraid of that. I’m too afraid to believe that I’m just a variable, no real “life” in myself, no spirit, just a variable.

 

เอาเปรียบ

เมืองสารขันธ์ ก้อนหินรูปร่างประหลาด มันประหลาดมากจนบรรยายลักษณะไม่ถูก

ผู้คนพากันมาชมหินก้อนนี้ด้วยความที่ต้องการดูของแปลก แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก

เวลาผ่านไป กล้องถ่ายรูปถูกสร้างขึ้น มีคนนำกล้องถ่ายรูปไปถ่ายหินก้อนนั้น

เขานำภาพไปลงนิตยสาร ผู้คนได้เห็นภาพหินก้อนนั้น แล้วพากันหลั่งไหลเข้ามายังเมืองสารขันธ์

ชาวเมืองสารขันธ์รวยขึ้นถ้วนหน้าจากการจับจ่ายของทักท่องเที่ยว ชาวเมืองสารขันธ์ดีใจ

จนวันหนึ่ง ชาวสารขันธ์ผู้หนึ่งพบว่าคนที่ถ่ายภาพไปลงนิตยสารนั้น ได้เงินจากภาพนั้นจำนวนมาก

เขาำนำเรื่องนี้ไปเล่าให้กับชาวบ้านเมืองสารขันธ์ ชาวเมืองสารขันธ์ไม่พอใจ

พวกเขาต่างด่าทอช่างภาพที่เอาเปรียบพวกเขา

 

เลือก

ญ – คุณไม่รักฉันเหรอ

ช – รักสิ

ญ – แล้วทำไมคุณไม่เลือกฉัน

ช – ผมเคยเลือกคุณแล้ว

ญ – แล้วทำไมตอนนี้คุณถึงเปลี่ยนใจ

ช – เพราะตอนนั้นคุณไม่เลือกผม

ญ – คุณไม่รักฉันเหรอ

 

ชี้นำ

ซีรี่ย์ที่เพิ่งดูจบไปสองเรื่องล่าสุดคือ Taken กับ 24

24 เป็นเรื่องราว 24 ชั่วโมงของครอบครัวหนึ่งที่ต้องเจอกับวันที่ยาวนานที่สุดในชีวิต

Taken เป็นเรื่องราวกว่า 50 ปี นับได้สามชั่วอายุคนของสามครอบครัวที่ต้องเกี่ยวเนื่องกับมนุษย์ต่างดาว

สองเรื่องนี้ไม่มีอะไรต่างกัน นอกจากว่าผมคงไม่มีวันดูเรื่องที่สอง ถ้าไม่ใช่ว่าสปีลเบิร์กเป็นคนสร้าง

Taken เป็นเรื่องที่ราบเรียบ เล่าถึงประสบการณ์ผ่านทางเสียงของเด็กน้อยคนหนึ่งชื่อ แอลลี่ ตลอดเรื่องคำคมนับร้อยที่น่านำไปคิด

ใครรู้จักผมดีคงรู้ว่าผมไมใช่คนจะดูหนังอย่างนี้

การที่ผมได้ดูหนังเรื่องนี้ นอกจากคำคมเปลี่ยวๆ ที่เอามาลงบล็อกแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่น่าสนใจ คือ เมื่อคนเราดังระดับสปีลเบิร์ก คนที่เลือกดูแต่หนังทริลเลอร์อย่างผมก็ถูกลากมาดูหนังที่สปีลเบิร์กต้องการอยากให้คนดูได้

ขณะที่เรารู้จักเขาจากหนังอย่าง E.T., Saving Private Ryan หรือ Jurassic Park แต่ด้วยความดังอย่างเขา ทำให้เขาสามารถสร้างหนังแสดงอุดมการณ์ส่วนตัวอย่าง Schnidler’s List หรือ Munich ตลอดจนหนังที่แหวกแนวออกไปอย่าง Taken นี้ได้

โดยใช้ทุนสร้างสูง… และโดยเฉพาะ คนดูเยอะมหาศาล

นอกจากเรื่องทางด้านศีลธรรมแล้ว ผมเชื่อว่าอุดมการณ์หลายๆ อย่างในตัวเราควรถูกรักษาไว้โดยตระหนักถึงการเผยแพร่อุดมการณ์นั้นออกไป มากกว่าจะมุ่งแต่รักษาอุดมการณ์อย่้างเดีัยวโดยสุดท้ายต้องอ้างว้างในสังคม

ในความเป็นจริงคือการโอนอ่อนให้กับสังคมและตลาดบางส่วน เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เรากลายเป็นผู้ชี้ทางตลาด ชี้นำสังคม

หากไม่มี หนังทำเงินจำนวนมาก คงไม่มีใครให้เงินทำซีรี่ย์อย่าง Taken นี้กับสปีลเบิร์ก

ความคิดของเขาอาจจะถูกดองไว้ในลิ้นชักของค่ายหนังสักค่้าย

ค่ายหนังเล็กๆ บางค่ายอาจจะยอมลงทุนให้เขา

ผลงานของเขาอาจจะไม่ดีเท่านี้ ด้วยความที่งบประมาณจำกัด

หรือให้ออกมาดี มันอาจจะไม่มีชื่อพอให้เราไ้ด้มีโอกาสดูกันทั่วไป