ปลายทาง

ผมประสบความสำเร็จแล้ว ผู้คนรู้จักผมไปทั่ว ผลงานของผมกำลังจะทำให้คนนับล้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

การประกาศรางวัลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คือจุดสูงสุดในชีวิตของผม มันเป็นรางวัลที่มีการคัดเลือกกันเพียงปีละคน งานของผมต้องรอการพิสูจน์ถึงห้าปี กว่าคณะกรรมการจะเลือกผม

ผมพักจากงานเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี…. เป็นครั้งแรกที่ผมมองไปข้างหน้า เห็นประตูที่อยู่ตรงข้ามโต๊ะทำงาน เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยมองประตูนี้มากไปกว่าลูกบิดที่ผมใช้เข้าออก

ผมเริ่มอยากออกไปฉลองกับใครสักคน ผู้คนทั้งประเทศกำลังยินดีกับรางวัลที่ผมได้รับ มีคนมาเสนอสร้างอนุเสาวรีย์ให้ผมด้วยซ้ำไป

ผมมองออกไป แล้วครุ่นคิด ผมอยากมีใครสักคนร่วมยินดีกับผมในตอนนี้ แต่จะเป็นใครดี

พ่อแม่ผมเสียไปเมื่อหลายปีก่อน น้องผมโทรมาบอกตอนผมกำลังทำงานในศูนย์วิจัยที่ปารีส ผมอยู่ที่่นั่นกว่าห้าปี โดยไม่ได้กลับมางานศพท่านทั้งสอง

ที่จริงโทรศัพท์จากน้องผมที่มาบอกข่าว ก็เป็นเพียงการพูดคุยกับน้องครั้งสุดท้าย

นั่นมันเมื่อใหร่กันนะ…

ผมมีแฟนคนแรกตอนเข้าเรียนปีหนึ่ง และก็เป็นคนสุดท้าย เราคบกันได้ไม่นาน ผมยุ่งเกินไป

ผมบอกตัวเอง ผมต้องหาเพื่อนมาร่วมฉลองด้วยซักคน ผมเปิดสมุดโทรศัพท์

มันเต็มไปด้วยรายชื่อของห้องวิจัยทั่วโลก ไม่มีชื่อใดในสมุดนั้นมีคำนำหน้าชื่อน้อยไปกว่า ดร.

ผมปิดสมุดโทรศัพท์ลง เงยหน้ามองเพดานเป็นครั้งแรกในช่วงเวลาเท่าใหร่ไม่มีใครรู้

ผมถามกับตัวเอง…

นี่ผมประสบความสำเร็จจริงๆ หรือ

 

BEST

Being the BEST still doesn’t make us right.

David Betz กล่าวไว้ในหน้า Bugzilla

แปลเป็นไทยง่ายๆ คงเป็นว่าผิดน้อยที่สุดก็ยังไม่ใช่ถูก

ขณะที่เรื่องไม่สำคัญหลายๆ อย่าง เรายอมรับได้กับข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ที่มีอยู่ทั่วไป เราอาจจะพบตั๋วหนังที่พิมพ์ชื่อหนังไม่ครบ เราอาจจะใช้คอมพิวเตอร์ที่คีย์บอร์ดจางไปบางปุ่ม

ของพวกนี้เป็นเรื่องปรกติ และมักจะเป็นเรื่องที่ยอมรับได้โดยไม่มีพิษมีภัยอะไร

พิษภัยของมันคือเมื่อเราชินชากับความผิดเล็กๆ มันทำให้เราคิดว่าทุกเรื่องนั้น มีข้อผิดพลาดไ้ด้เสมอ และเรายอมรับข้อผิดพลาดได้เสมอๆ เช่นกัน

เรื่องจริงคือชีวิตของเรามีหลายๆ อย่างที่เราไม่ควรยอมให้มีความผิดพลาดไม่ว่ากรณีใดๆ

เราคงไม่ยอมให้เลขในบัญชีของเราผิดไปสักหลัก เราคงไม่ยอมให้ชื่อในบัตรประชาชนเราผิดไปสักตัว

แต่เรามักยอมที่จะมีจุดบกพร่องเล็กๆ เช่นการละเลยการเรียน การทำงานบ้างบางวัน เราทำเศษกระดาษตกลงบนพื้นแล้วแกล้งลืมไม่เก็บบ้าง

มาตรฐานการยอมรับได้อยู่ตรงไหน?

มันอยู่ในตัวเรานั่นแหละ…

 

ผลลัพธ์

ตอนอ่านนิยายคินดะอิจิภาคสอง มีประโยคหนึ่งที่สะดุดเข้ามาในหัว และจำได้คุ้นๆ จนวันนี้ คือตอนที่พระเอกนึกถึงนางเอกว่า “มีความคิดแบบเด็กๆ ว่าเมื่อให้ความรักกับใครไปแล้ว ต้องได้ความรักคืนมา”

คนเรามีความคาดหวังต่้างๆ กันไปในความรัก แบบง่ายๆ เราอาจจะอยากให้เขารักเรากลับ บางคนอาจจะมองว่าการหวังอย่างนี้เป็นการเห็นแก่ตัว และพยายามทำเหนือขึ้นไปอีกขั้นด้วยการเปลี่ยนความหวังที่จะครอบครองเป็น หวังให้เธอได้ดี

ที่บ้านผมมีอาโกวอยู่คนหนึ่ง แกลงเรือมาจากเมืองจีนตั้งสี่ห้าสิบปีก่อน มาถึงเมืองไทยไม่กี่ปีแกก็เป็นไข้สูง การแพทย์ยุคนั้นรักษาชีวิตแกไว้่ได้ แต่ไข้ก็ำทำให้แกหูหนวกถาวร ทำเอาหมดความหวังที่จะเรียนภาษาไทย ส่วนภาษาจีนของแกนั้นก็แย่ลงทุกวัน ด้วยความที่ไม่ได้ยิน

แกเป็นคนหนึ่งที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กๆ อุ้มป้อนข้าวป้อนน้ำกันมา

ยี่สิบกว่าปีผ่านไป ผมรับปริญญา ผมพาครอบครัวไปเลี้ยงฉลอง พาแกไปถ่ายรูป

แกงงๆ แต่ก็ยิ้ม เพราะเห็นทุกคนยิ้มกับผม และผมก็ยิ้ม

แกเอารูปผมไปติดข้างฝา แกไม่เข้าใจหรอกว่าในรูปน่ะ เกิดอะไรขึ้น

แต่แกก็ยิ้มกับรูปนั้น

 

ผิด

เคยไหมที่จะทำอะไรดีๆ กับคนๆ หนึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เราชอบหรืออะไรหรอก อาจจะเป็นแ่ค่เพื่อน คนรู้จัก คนรอบๆ ตัวเรา เราอาจจะอยากไปทักทาย อาจจะอยากเข้าไปทำความรู้จัก หรือซื้อของกินไปเผื่อเล็กๆ น้อยๆ อยากจะเข้าไปเล่าเรื่องตลก กันฮาๆ บ้าง

แต่บ่อยๆ ที่เรื่องที่เราจะทำดีๆ นั้นมันกลายเป็นเรื่องแย่ๆ อีกเรื่องนึงไป เราอาจจะไปพูดแทงใจดำเขาเข้า หรือไม่ก็ไปชวนคุยจนเขารำคาญ

เรื่องมันจบลงที่เรามานั่งเสียใจที่ทำอะไรอย่างนั้นไป

เรื่องมันแ่ย่กว่านั้น เมื่อเรามักจะทำให้เขาโกรธ เมื่อเราพยายามเข้าไปขอโทษ หรือเข้าไปแก้ไขเรื่องที่เราทำผิดไป

แต่ทั้งหมดที่เราทำได้

อาจจะเป็นแค่นั่งเงียบๆ แล้วเสียใจกับสิ่งที่เราทำลงไป