การพิสูจน์ของเวลา

ว่ากันว่าเวลาสามารถพิสูจน์อะไรได้หลายๆ อย่าง

ในวันหนึ่งที่เรามีความฝัน เราอยากจะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ในสายตาของเรา เรามีกำลัง ขาดเพียงแค่ความเชื่อมั่น

เราขาดแค่ความเชื่อมั่นเท่านั้น แต่นั่นก็พอที่จะทำให้เราหยุดเดิน แล้วเริ่มมองว่าคนอื่นๆ ไปทางไหนกัน

เราหันไปทางนั้นแล้วเริ่มเดินออกไป….

เวลาผ่านไป เราลืมความฝันที่เราทิ้งไว้เบื้องหลัง

เด็กคนหนึ่งเดินทางมาตัดกับเราที่แยกแห่งหนึ่ง

เราบอกเขาว่า “เดินไปทางนี้สิ นี่เป็นทางที่ทุกคนเขา้เดินกันมา”

เด็กหนุ่มคนนั้นบอกเราว่า “ไม่ ผมเลือกแล้วที่จะเดินไปอีกทาง”

“แต่ทางนั้นไม่มีใครเคยได้กลับมา…”

เด็กหนุ่มคนนั้นตอบว่า “คุณก็ไม่คิดจะหันหลังกลับในทางของคุณเช่นกัน”

เรามองทางที่เด็กหนุ่มนั้นเดินไป มองเห็นแสงที่ปลายทางนั้น แล้วนึกขึ้นได้ว่าทางนั้น ครั้งหนึ่งเคยเป็นทางที่เราอยากเดินไป

แต่เราเลือกจะเดินทางนี้ เพราะมันถูกพิสูจน์แล้วด้วยเวลาที่ยาวนาน

มันถูกพิสูจน์ หรือเวลาเป็นตัวปิดกั้นไม่ให้เราลองเส้นทางอื่นกัน

เราเริ่มมองไปอีกทาง….

 

เวลา

เมื่อสองปีก่อน ผมเคยลืิมมือถือไว้ที่มหาวิทยาลัย ไปรู้ตัวเอาตอนจะเข้านอน

มันไม่ใ่ช่เรื่องน่ากลัวอะไร ถ้าไม่ใช่ว่ามือถือเครื่องนั้นคือนาฬิกาปลุกเครื่องเดียวที่หอเน่าๆ รกๆ ของผมมันจะพอมีประดับอยู่กับชาวบ้านซะบ้าง

….และวันรุ่งขึ้นเป็นวันสอบ ตอนเช้า….

เวลานั้นเป็นเวลาดึกเกินไปที่จะกลับไปเอามือถือเครื่องนั้น และแน่นอนว่าดึกเกินไปที่จะออกไปหาซื้อนาฬิกาปลุก สิ่งที่ผมต้องตัดสินใจทำทันทีคือ เข้านอนทันที เพื่อตื่นแต่เช้าในวันรุ่งขึ้น

ผมตื่นหกโมงในวันรุ่งขึ้น ฟ้าสว่างพอดีๆ แต่ผมไม่รอช้า อาบน้ำแล้วรีบรุดไปมหาวิทยาลัย

เรื่องนี้สอนผมอะไรหลายๆ อย่าง อย่างแรกคือนกฮูกอย่างผม ก็เข้านอนเร็วๆ เป็น และตื่นเช้าโดยไม่ต้องมีนาฬิกาปลุกเป็น

อย่างที่สองคือ ศัตรูหมายเลขหนึ่งของการตรงต่อเวลาในชีวิตผม อาจจะเป็นนาฬิกาปลุกเครื่องนั้นเอง

ขณะที่ชีวิตของเราคาดเดาได้ ด้วยเครื่องมือและข้อมูลจำนวนมากที่อยู่รอบตัวเรา มันกลับทำให้เราประมาทที่จะรีบเร่งทำหลายๆ อย่างทั้งที่มันสำคัญยิ่งต่อชีวิตของเรา

เราเลือกที่จะนอนดึก เพราะเราแอบรู้ว่าคนทั่วไปต้องการเวลานอนประมาณหกชั่วโมง บ่อยครั้งเรารู้ว่าแม้แอบโกงออกไปสักชั่วโมง เราก็ยังตื่นได้ เราเลยโกงมันทุกวัน ทำลายสุขภาพตัวเองอย่างต่อเรื่อง

เราแอบรู้ว่าอายุผู้ชายเฉลี่ยอยู่ที่ 65 ปี ผู้หญิง 68 ปี เราเลยเลื่อนเวลาทำสิ่งที่อยากทำออกไปสักสิบปี เลื่อนเวลากตัญญูออกไป เลื่อนเวลาพัฒนาตนเอง เลื่อนเวลา…. และเลื่อนเวลา….

จนมันเหลือเวลาพอดีเป๊ะสำหรับทุกอย่าง

ว่ากันว่าจะใช้เวลาให้คุ้มต้องคิดเหมือนว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิต ผมเองไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าใหร่ คงไม่ดีแน่ถ้าเราจะลาออกจากงานวันนี้ มานั่งกอดแม่อยู่เฉยๆ ทั้งวัน… และทุกวัน….

ทางที่ดีกว่าอาจจะเป็นการที่เราลืมข้อมูลทั้งหลาย ที่ช่วยให้เราสบายใจอยู่ว่าเรายังมีเวลาเหลือ

ลองคิดซะว่าไม่รู้ว่ากี่โมงจะเลิกงาน ไม่รู้ว่าอายุน่าจะเป็นเท่าใหร่ ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมง

ใช้เวลากับปัจจุบัน แล้วทำมันให้ดีที่สุด ใ้ช้มันอย่างคุ้มค่า พักผ่อนและปล่อยเวลาไปบ้าง

แต่แค่ระวังว่าเวลาอาจจะหมดไปเมื่อใหร่ก็ได้…….

ปล. ได้รับแรงบันดาลใจจากโฆษณา Maximize ของ DTAC

 

เดิม

ผมมีปากกาอยู่แท่งหนึ่งที่ผมรักมาก ผมพกมันอยู่นานหลายปี สภาพที่ผ่านการใช้งานยาวนานของมันสร้างรอยให้มันจนไม่น่ามองสำหรับหลายๆ คน

วันหนึ่ง ผมวางปากกานั้นไว้บนโต๊ะ แล้วไปธุระ เมื่อกลัีบมา ผมหยิบมันขึ้นมาใช้งาน

มันไม่ใช่ปากกาแท่งเดิม

แม้จะเป็นทรงเดียวกัน และสีไม่ต่างไปจากเดิม แต่สภาพที่ใหม่่เอี่ยมบอกให้รู้ว่าปากกาแท่งนี้ ไม่ใช่แท่งเดิมที่ผมใช้อยู่ทุกวัน

ผมวางปากกาลงอย่างไม่ใยดี แล้วเริ่มมองหาปากกาของผม

ปากกาที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแท่งนั้น….

ps[0] = u”มีคนจุดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา เลยเขียนออกมาได้”
ps[1] = u”โปรเจค ZWSP เดินหน้าไปอีกขั้นแล้ว ด้วยความช่วยเหลือของมาร์ค เข้าไปลองได้ รายงานบั๊กกันด้วย”
ps[2] = u”ปล. ในวันนี้เป็นภาษา Python

 

คนยังไง?

เวลาเราคุยกันถึงบุคคลที่สาม คำถามหนึ่งที่เราได้ยินกันตลอด ไม่ว่าจะบ่อยหรือไม่แค่ไหน ก็คือคำถามแนวว่า “คนนี้เป็นคนยังไง”

ไม่รู้ว่าผมอยู่กับคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถอธิบายอะไรๆ ได้ง่ายๆ นานเกินไปรึเปล่า แต่ผมไม่สามารถอธิบายคนๆ หนึ่งด้วยในการคุยกันไม่เกินครึ่งชั่วโมงเช่นนี้ กับคนคนหนึ่งที่ใช้เวลานับสิบปีในการพัฒนาความคิดและจิตใจ มันเป็นไปได้หรือที่เราจะจำกัดความเขาไว้ด้วยคำพูดทำนองว่า “คนนี้เป็นคนดี”, “อบอุ่นดีนะ” หรือ “เป็นคนแข็งๆ น่ะ”

ชื่อบล็อกของผมที่ lewcpe.exteen.com ใช้ชื่อว่าเพราะคนเรามีหลายด้าน และก็นับว่าน่าพอใจทีเดียวกับเนื้อหาทีออกมา ให้หลายๆ คนแปลกใจเพราะไม่ใช่ว่าคนอย่างผม ที่ถูกเขาจำกัดลักษณะไว้ด้วยคำพูดสั้นๆ อย่างนั้นจะเขียนมันออกมาได้

ความเป็นจริงง่ายๆ ที่เราทุกคนรู้กันเช่นกว่า คนที่รักแม่ที่สุดก็ต้องเคยทะเลาะกับแม่บ้าง และไม่น้อยที่ลูกที่หนีจากบ้านไปกลายเป็นคนที่กลับมาเลี้ยงดูพ่อแม่เมื่อแก่เฒ่า

ขณะที่เราปฏิเสธสัญชาตญาณในตัวเรา ที่มักจะมองลักษณะคนจากภายนอกในแบบคร่าวๆ ไม่ได้

แต่ก็คงดีไม่น้อย ถ้าเราจะมองคนให้ลึกและรอบด้านกันมากกว่านั้น