เมื่อสองปีก่อน ผมเคยลืิมมือถือไว้ที่มหาวิทยาลัย ไปรู้ตัวเอาตอนจะเข้านอน
มันไม่ใ่ช่เรื่องน่ากลัวอะไร ถ้าไม่ใช่ว่ามือถือเครื่องนั้นคือนาฬิกาปลุกเครื่องเดียวที่หอเน่าๆ รกๆ ของผมมันจะพอมีประดับอยู่กับชาวบ้านซะบ้าง
….และวันรุ่งขึ้นเป็นวันสอบ ตอนเช้า….
เวลานั้นเป็นเวลาดึกเกินไปที่จะกลับไปเอามือถือเครื่องนั้น และแน่นอนว่าดึกเกินไปที่จะออกไปหาซื้อนาฬิกาปลุก สิ่งที่ผมต้องตัดสินใจทำทันทีคือ เข้านอนทันที เพื่อตื่นแต่เช้าในวันรุ่งขึ้น
ผมตื่นหกโมงในวันรุ่งขึ้น ฟ้าสว่างพอดีๆ แต่ผมไม่รอช้า อาบน้ำแล้วรีบรุดไปมหาวิทยาลัย
เรื่องนี้สอนผมอะไรหลายๆ อย่าง อย่างแรกคือนกฮูกอย่างผม ก็เข้านอนเร็วๆ เป็น และตื่นเช้าโดยไม่ต้องมีนาฬิกาปลุกเป็น
อย่างที่สองคือ ศัตรูหมายเลขหนึ่งของการตรงต่อเวลาในชีวิตผม อาจจะเป็นนาฬิกาปลุกเครื่องนั้นเอง
ขณะที่ชีวิตของเราคาดเดาได้ ด้วยเครื่องมือและข้อมูลจำนวนมากที่อยู่รอบตัวเรา มันกลับทำให้เราประมาทที่จะรีบเร่งทำหลายๆ อย่างทั้งที่มันสำคัญยิ่งต่อชีวิตของเรา
เราเลือกที่จะนอนดึก เพราะเราแอบรู้ว่าคนทั่วไปต้องการเวลานอนประมาณหกชั่วโมง บ่อยครั้งเรารู้ว่าแม้แอบโกงออกไปสักชั่วโมง เราก็ยังตื่นได้ เราเลยโกงมันทุกวัน ทำลายสุขภาพตัวเองอย่างต่อเรื่อง
เราแอบรู้ว่าอายุผู้ชายเฉลี่ยอยู่ที่ 65 ปี ผู้หญิง 68 ปี เราเลยเลื่อนเวลาทำสิ่งที่อยากทำออกไปสักสิบปี เลื่อนเวลากตัญญูออกไป เลื่อนเวลาพัฒนาตนเอง เลื่อนเวลา…. และเลื่อนเวลา….
จนมันเหลือเวลาพอดีเป๊ะสำหรับทุกอย่าง
ว่ากันว่าจะใช้เวลาให้คุ้มต้องคิดเหมือนว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิต ผมเองไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าใหร่ คงไม่ดีแน่ถ้าเราจะลาออกจากงานวันนี้ มานั่งกอดแม่อยู่เฉยๆ ทั้งวัน… และทุกวัน….
ทางที่ดีกว่าอาจจะเป็นการที่เราลืมข้อมูลทั้งหลาย ที่ช่วยให้เราสบายใจอยู่ว่าเรายังมีเวลาเหลือ
ลองคิดซะว่าไม่รู้ว่ากี่โมงจะเลิกงาน ไม่รู้ว่าอายุน่าจะเป็นเท่าใหร่ ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมง
ใช้เวลากับปัจจุบัน แล้วทำมันให้ดีที่สุด ใ้ช้มันอย่างคุ้มค่า พักผ่อนและปล่อยเวลาไปบ้าง
แต่แค่ระวังว่าเวลาอาจจะหมดไปเมื่อใหร่ก็ได้…….
ปล. ได้รับแรงบันดาลใจจากโฆษณา Maximize ของ DTAC