ถ – นึกยังไงมาดูหนังคนเดียวเหรอครับ
ต – นึกขึ้นได้ว่าไม่มีแฟนครับ
ปล. “ถ” น่ะ ใครไม่รู้ ส่วน “ต” น่ะ คุณคงรู้ว่าใคร
ถ – นึกยังไงมาดูหนังคนเดียวเหรอครับ
ต – นึกขึ้นได้ว่าไม่มีแฟนครับ
ปล. “ถ” น่ะ ใครไม่รู้ ส่วน “ต” น่ะ คุณคงรู้ว่าใคร
นั่งนึกถึงเวลาที่ผ่านไปในชีวิต ขณะที่เราเดินหน้าไปเรื่อยๆ เราพบว่ามีอะไรมากมายที่เราทิ้งไว้ข้างหลัง แล้วลืมมันไป…..
เพื่อนที่เราเคยสนิทด้วยที่สุด ในวันนี้เมื่อเจอหน้ากัน เราอาจจะทำตัวไม่ถูก ไม่ใช่เพียงแค่ลดความสนิทสนมกันลงไป แต่กลับเหมือนมีกำแพงกั้นกลางระหว่างทั้งสองคนยิ่งกว่าคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
ผมเริ่มสงสัยกับตัวเอง ว่าจำเป็นหรือที่เราจะต้องละทิ้งเรื่องราวต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไป ขณะที่เราทุกวินาทีของชีวิตเราเฝ้าหวังว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล แต่ความจริงที่โหดร้ายคือความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสมอ โดยเฉพาะความเปลี่ยนแปลงที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นกับเราเป็นที่สุด
ความสนิทสนมระหว่างกันของเรากับคนอื่นๆ กำลังเปลี่ยนไปทุกนาที ขณะที่เราเจอเพื่อนใหม่ๆ อยู่ทุกๆ วัน เรื่องดีๆ เช่นนี้กลับมักมาพร้อมกับการที่เพื่อนเก่าๆ ของเราค่อยๆ ถอนตัวออกไปจากชีวิตของเราอย่างช้าๆ
บางทีชีวิตอาจจะมีขีดจำกัดที่เรามองไม่เห็น มันอาจจะถูกกำหนดไว้อย่างหยาบๆ ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนรอบข้าง ที่เมื่อเรามีความสัมพันธ์กับคนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราก็อาจจะถูกจำกัดความสัมพันธ์เช่นนั้นลงไป
หรือจะเป็นผมเอง ที่ละทิ้งความสัมพันธ์เก่าๆ ไป ชีวิตอาจจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการห่างเหินระหว่างเรากับคนอื่นๆ แต่เราเองนั่นแหละที่เลือกจะห่างเหินกันไป
จะมีทางไหนที่เราจะรู้ได้…
ถ – งานที่ทำอยู่้เป็นไงมั่ง
ต – ก็ดีระดับนึง
ถ – แล้วครอบครัวล่ะ เป็นไงบ้าง
ต – ก็พอใช้ได้ ระดับนึง
ถ – รู้สึกยังไงกับชีวิตที่ผ่านมาบ้าง
ต – ก็พอใจในระดับนึงนะ
ได้อ่านบล็อกหนึ่งที่พูดถึงคนที่เขา (คนเขียน) รักอย่างหมดใจ ถึงขนาดที่ว่าจำได้ว่าวันไหนคุยกันกี่นาที ทำอะไรร่วมกันบ้าง ฯลฯ
ผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าสาวเจ้ามาเห็นเข้า คงประทับใจไม่น้อย แต่แล้วในใจหนึ่งผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ความรักแบบนี้นั้นจะคงอยู่ไปนานสักเท่าใหร่กัน
เมื่อนึกขึ้นไป ผมกลับมานึกถึงว่า เป็นเรื่องปรกติทีเดียว ที่เราจะมองความรักด้วย “ปริมาณ” เราชื่นชมคู่รักคู่หนึ่ง ด้วยความคิดที่ว่า เขาและเธอนั้นรักกัน “เพียงใด” ในมุมกลับกันแล้ว มีคู่รักที่อยู่ในสภาพระหองระแหง วันหนึ่งดีกัน และอีกวันหนึ่งเกลียดกัน แต่เขาและเธอก็ยังคง “รัก” กันเสมอมา
ในช่วงชีวิตที่ไม่ได้ยาวนานอะไรของผม ผมพบว่าคุณค่าของสิ่งหนึ่งๆ ที่เรามองเห็น กลับไม่ได้เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ชี้วัดด้วยเพียงค่าบางอย่าง น่าแปลกที่สังคมมักชี้เป็นชี้ตายกันด้วยค่าเหล่านั้นเสมอๆ อาจจะด้วยเหตุผลที่ว่ามันง่าย หรือเป็นค่าที่เป็นมาตรฐานที่ยอมรับกันทั่วไป
เช่นเมื่อตอนเรียนอยู่ ผมถูกวัดคุณค่าด้วยเลขทศนิยมสองหลักที่เรียกว่าเกรดกันเสมอๆ เมื่อโตขึ้นมาเลขนี้กลายเป็นจำนวนเต็มที่เรียกว่าเงินเดือน แม้จะผ่านเกณฑ์ของผู้คนรอบข้างมาได้ด้วยดีตลอด แต่น่าแปลกที่ชีวิตผมกลับพยายามวิ่งหนีค่าเหล่านี้อยู่บ่อยครั้ง
บางทีชีวิตของเรา อาจจะไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา ให้ถูก “วัด” ด้วยมาตราที่มีอยู่ในโลกนี้ เราอาจจะไม่ได้รับอนุญาตให้วัดคุณค่าของใครคนใดคนหนึ่ง สิ่งที่เราทำได้อาจจะเป็นเพียงการประเมินในส่วนที่เล็กที่สุดของคนคนนั้น
แต่เราล่ะ…..
จะยอมทำแค่นั้นกันได้ไหม…..