Q – ทำไมคุณถึงเดินมาทางนี้
A – ผมแค่คิดว่าทางนี้มันน่าสนใจ
Q – คุณไม่เห็นที่ทางเข้าหรือว่ามันมีทางที่ใกล้กว่ามาก
A – เห็น แต่ผมคิดว่าจะเป็นไรไปถ้าผมจะลองทางที่ไกลกว่าดูสักครั้ง
Q – คุณมีเหตุผลอะไรเล่า
A – ผมต้องมีเหตุผลด้วยหรือ
Q – ทำไมคุณถึงเดินมาทางนี้
A – ผมแค่คิดว่าทางนี้มันน่าสนใจ
Q – คุณไม่เห็นที่ทางเข้าหรือว่ามันมีทางที่ใกล้กว่ามาก
A – เห็น แต่ผมคิดว่าจะเป็นไรไปถ้าผมจะลองทางที่ไกลกว่าดูสักครั้ง
Q – คุณมีเหตุผลอะไรเล่า
A – ผมต้องมีเหตุผลด้วยหรือ
นายธนาคารคนหนึ่งที่ไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับการแพทย์ต้องตื่นขึ้นมาพบกับความจริงของชีวิตว่าเขากำลังเสียลูกชายของเขาไปตลอดกาลด้วยโรคที่ไม่มีทางรักษา adrenoleukodystrophy (ALD) โรคร้ายนี้กำลังคร่าชีวิตลูกของเขาไปอย่างช้าๆ แต่เร็วเกินไปที่เขาจะยอมรับได้
แทนที่จะยอมแพ้กับวิทยาการทางการแพทย์ที่ไม่ก้าวหน้าพอ Augusto Odone เลือกที่จะเดินเข้าห้องสมุด แล้วเริ่มโครงการที่เป็นไปไม่ได้ เขาอ่านหนังสือทางการแพทย์ทุกเล่มที่เขาคิดว่าเกี่ยวข้อง พยายามทำความเข้าใจกับสูตรและสมการทางเคมีที่ไม่เคยได้พบมาก่อน
ความพยายามของผู้เป็นพ่อไม่สูญเปล่า เขาสร้างทฤษฎีใหม่ที่เชื่อว่าน้ำมันมะกอกสกัดพิเศษสามารถช่วยหยุดโรคร้ายของลูกได้ ปัญหาคือน้ำมันที่ว่าไม่มีใครสามารถสกัดมาขายได้ ด้วยความมุ่งมั่นอย่างที่สุด Augusto ติดต่อหน่วยงานนับร้อยทั่วโลกเพื่อให้รับผลิตน้ำมันตามความต้องการของเขา จนกระทั่งได้รับการตอบรับจากนักเคมีในอังกฤษ
แพทย์วินิจฉัยว่าลูกของ Augusto จะตายภายในสองปี เมื่อมีการตรวจพบโรคในช่วงปี 1980 แต่ทุกวันนี้เด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ แม้โรคร้ายจะทำร้ายเขาไปจนตาบอด และเดินไม่ได้ แล้วก็ตาม
เด็กคนนั้นชื่อ Lorenzo และยาตัวนั้นคือ Lorenzo’s Oil ตามชื่อของเขา ยาตัวนี้ยังคงมีการใช้งานช่วยชีวิตเด็กคนอื่นๆ ที่เป็นโรคเดียวกันได้อย่างน่าแปลกใจ
กำลังในชีวิตของเราอยู่ตรงไหนกัน บางทีแล้วขีดจำกัดเดียวที่คนเรามี อาจจะเป็นแค่ความท้อแท้ในชีวิตเท่านั้นเอง
บิล เกตต์เคยเขียนในหนังสือของเขาว่าที่ไมโครซอฟท์ หลายครั้งมีการจ้างอดีตผู้บริหารจากบริษัทอื่นๆ ทั้งที่ผู้บริหารเหล่านั้นเคยทำผิดพลาดมาก่อนในบริษัทเดิม ด้วยแนวคิดที่น่าสนใจว่า ผู้บริหารเหล่านั้นน่าจะเรียนรู้จากความผิดพลาดของเขาและปรับปรุงการทำงานในอนาคตให้ดียิ่งๆ ขึ้น
แนวคิดประมาณนี้คือแนวคิดของการยอมรับว่าคนเราต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต ขณะที่เรามักจำแนกช่วงเวลาของชีวิตออกเป็นสองช่วงคือผู้ใหญ่กับเด็ก สิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกับการจำแนกเช่นนี้คือการให้อภัยกับเด็กอย่างสุดโต่งจนไม่มีความผิดใดๆ ขณะที่หลายครั้งคนที่เราจำแนกว่่าเป็นผู้ใหญ่นั้นเรากลับปฎิเสธความต้องการที่จะเรียนรู้เรื่องต่างๆ ออกไป
หลายครั้งที่เราถามถึงจุดยืนของคนๆ หนึ่ง แล้วยึดเอาว่าคนๆ นั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ โดยปฎิเสธความจริงที่ว่าเมื่อเวลาเปลี่ยนไปแล้ว การเรียนรู้ ประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นกับชีวิตคนเรา สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับคนเราได้อย่างไม่น่าเชื่อเสมอๆ
หนักกว่านั้นคือเมื่อมีใครสักคนเปลี่ยนแปลงความคิดของเขา สิ่งที่เรามักจะเจอกันเรื่อยๆ คือการประณามการเปลี่ยนแปลงนั้นว่าเป็นการกระทำของคนไร้หลักการ
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอๆ สิ่งที่สำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงคือเราสามารถอธิบายได้หรือไม่ว่าทำไมเราจึงควรเปลี่ยนแปลง และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว หากการกระทำก่อนการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ผิด ความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เคยผิดพลั้งไปนั้นดูเหมือนจะสำคัญเป็นที่สุด
การยอมรับผู้ที่ยอมเปลี่ยนแปลงนั้นเล่า มันคงดีกว่าการให้อภัยแต่คำพูดเป็นไหนๆ
วันวันหนึ่งที่คุณอาจจะรอคอยมาเป็นเวลานาน คุณเฝ้ามองเวลาล่วงเลยไปอย่างใจจดจ่อ
เมื่อใหร่กันนะ วันนั้นจึงจะมาถึง…..
เวลาไม่เคยทรยศเรา มันไม่เคยเกียจคร้านที่จะเดินไปข้างหน้า แม้หลายๆ ครั้งแล้วดูเหมือนว่ามันจะเดินไม่ทันใจเราเอาซะเลยก็ตามที
สุดท้ายแล้ววันนั้นก็มาถึง เราปลาบปลื้มกับวันนั้นได้ในที่สุด
แต่แล้วเราก็พยายามนึก เราเคยปรารถนาอะไรกันในวันนั้น เรารอคอยมันมานานแสนนานขนาดนี้เพื่ออะไรกัน
เรานั่งนึกอยู่นาน….. จนวันนั้นมันผ่านไป…..