Thai Fact #2

สืบเนื่องจากคราวที่แล้วเนื่องจากโดยทั่วไปแล้วเราต้องการข้อเท็จจริงมากขึ้น มีสองจุดที่เราต้องนิยามกันก่อนให้ชัดๆ คือ

  • อะไรคือข้อเท็จจริง
  • ข้อเท็จจริงนั้นเชื่อถือได้เพียงใด

ผมเคยเจอกระทู้หนึ่งในห้องราชดำเนินของ pantip.com ที่น่าสนใจมากๆ คือมีคนพยายามตอบคำถามว่ามีม็อบที่จำนวนกี่คน เนื่องจากแต่ละสื่อให้ตัวเลขออกมาต่างกันอย่างมาก ปรากฏว่ามีคนพยายามจุดตำแหน่งใบหน้าของแต่ละคนแล้วนั่งนับทั้งภาพจนได้คำตอบว่าไม่มีทางต่ำไปกว่าเลขที่เขานับอย่างแน่นอน

ข้อเท็จจริงเป็นอะไรที่ง่ายตามชื่อของมัน คือเป็นสิ่งที่บอกได้ว่าจริงหรือไม่จริง ขณะที่เราบอกไม่ได้ว่ามีผู้ร่วมชุมนุมครั้งหนึ่งจำนวน 2923 คนอะไรอย่างนั้น แต่เราบอกสามารถหาข้อมูลที่บอกได้อย่างชัดเจนเช่น ผู้ร่วมชุมนุมที่ไม่ต่างกว่า 1000 โดยการนับจำนวนในภาพ

นอกจากนี้ข้อมูลอื่นๆ จำนวนมากที่เราอาจจะบอกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นข้อเท็จจริง เช่นงบประมาณในโครงการต่างๆ เช่นการประมูล เรื่องพวกนี้เว็บของทางราชการเองก็มักจะมีเสมอๆ แต่ยากที่จะเข้าถึงได้ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง เราอาจจะยกตัวเลขจากเอกสารหนาๆ ขึ้นมาเป็นข้อเท็จจริงที่เราสนใจเช่น ตัวเลขเครือข่ายของ CAT ล่มถึง 64 ชั่วโมงในปี 2004 นั้นได้มาจากรายงานของ กทช. หนาถึงสองเล่มใหญ่ๆ

ปัญหาต่อมาคือเรื่องของความน่าเช่ือถือของข้อมูล เราต้องบอกได้ว่าข้อมูลใดน่าเชื่อถือเพียงใด ในกรณีเช่นแหล่งข้อมูลเป็นเว็บนั้น เราต้องบอกได้ว่า ณ เวลาที่เราอ้างอิงถึงข้อมูลนั้นๆ ข้อมูลนั้นต้องเป็นไปตามที่เราอ้างจริง และหากมีการแก้ไขในภายหลังเราต้องบอกได้อย่างชัดเจนว่าข้อมูลนั้นมีการแก้ไข

ในกรณีเช่นนี้เราอาจจะสร้างซอฟต์แวร์ตรวจสอบ โดยให้ผู้ที่สนใจลงซอฟต์แวร์ดังกล่าวในเว็บของตน เมื่อมีการอ้างถึงเว็บใดๆ ในโครงการ Thai Fact จะมีการแจ้งไปยังผู้ตรวจสอบทั้งหมด ซอฟต์แวร์ตรวจสอบจะสามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้ดาวน์โหลดเว็บดังกล่าวมาเก็บไว้ในเว็บของตน หรือเพียงแค่คำนวณค่า Check Sum เพื่อตรวจสอบการเปลี่ยนแปลง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในภายหลัง จะมีผู้รู้เห็นเป็นจำนวนมาก

 

Thai Fact Project

สิ่งหนึ่งที่ผมมองว่าประเทศไทยขาดไปคือเรื่องของข้อเท็จจริง ขณะที่เรามักจะมีการอ้างอิงจำนวนมากมายมหาศาล แต่เมื่อตั้งคำถามกันจริงๆ แล้วว่าสิ่งที่เราอ้างอิงนั้นเชื่อถือได้เพียงไร เรามักจะตอบไม่ได้เสมอๆ

ประเทศไทยต้องการการพูดคุยกันด้วยข้อเท็จจริงให้มากกว่านี้ เราต้องการศูนย์รวมข้อมูลที่น่าสนใจไ้ว้อย่างเต็มรูปแบบ เราต้องการสื่อระดับปฐมภูมิที่เชื่อในความคิดอ่านของประชาชน ด้วยการป้อนเฉพาะข้อมูลดิบที่เป็นข้อเท็จจริงไว้อย่างรวดเร็ว ฉับไว เชื่อถือได้ ตรวจสอบที่มาได้ มีหลักฐานชัดเจน แล้วปล่อยให้โครงสร้างสังคมเกิดการโต้แย้งประเด็นต่างๆ ที่ตามมาจากข้อเท็จจริงเหล่านั้นได้อย่างอิสระ

จะดีแค่ไหน ถ้าเว็บข่าวเว็บหนึ่งได้อ้างถึงคำให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีสักคน แล้วท้ายข่าวมีการลิงก์ไปยังไฟล์เสียงฉบับเต็มของการสัมภาษณ์ จะดีแค่ไหนถ้าเราดูการประชุมสภา แล้วเมื่อมีการอ้างถึงเอกสารฉบับใดๆ ก็สามารถกดลิงก์ไปยังเอกสารฉบับนั้นๆ ได้ภายในสิบวินาทีถัดมา

การเลือกตั้งอาจจะเปลี่ยนไป เมื่อมีข้อมูลจำนวนครั้งที่ขาดประชุมของผู้สมัครทุกคนให้ประชาชนได้ดูกันอย่างทั่วถึง ตลอดจนการโหวตทุกครั้งในตลอดอายุงาน นโยบายที่ใช้หาเสียงในแต่ละครั้งของผู้สมัครแต่ละคน

เราต้องการระบบการค้นหา และการจัดเก็บข้อเท็จจริงเหล่านี้ในระดับ massive เราต้องการชุมชนขนาดใหญ่เพื่อร่วมกันดึุงคนจำนวนมากมาช่วยกันสอดส่องข้อมูลที่น่าสนใจ ย่อยเฉพาะข้อเท็จจริงมานำเสนอ เพื่อให้ประชาชนได้มองเห็นภาพอย่างชัดเจนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ใครจะร่วมด้วยมั่ง? ถามกันง่ายๆ อย่างนี้แหละ (เหมือนตอนสร้าง Blognone)

 

Unblockable

ช่วงนี้กำลังคุยกับอาจารย์มะนาว เรื่องโปรแกรมที่บล็อคไม่ได้ เอามาจดไว้แถวๆ นี้เผื่อใครจะสนใจ

  • ระบบนั้นอาจจะถูกบล็อคได้บ้าง แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะบล็อคทั้งหมด
  • สามารถอิงแอบกับโปรโตคอลอื่นๆ ที่เชื่อว่ารัฐไม่กล้าบล็อค เช่น MSN หรือ HTTP ได้
  • ถ้ามีการบล็อค มีการลบ มีความพยายามแก้ไขข้อความใดๆ ในระบบ จะรู้ตัวได้ทันที
  • ทุกคนเข้าร่วมได้อย่างอิสระ ไม่ต้องยืนยันตัวเอง (ว่าตัวตนจริงๆ เป็นใคร) แต่ทุกข้อความที่โพสลงในระบบสามารถยืนยันได้ว่ามาจากคนเดียวกัน (แต่คนๆ เดียวอาจจะเล่นเป็นหลาย user ก็ได้ อันนี้ไม่กัน)
  • ระบบมีความง่ายอย่างยิ่งยวด สามารถซ่อมแซมตัวเองจากการบล็อค ลบ หรือทำลายในรูปแบบอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว
  • รองรับการทำงานแบบนิรนามเต็มรูปแบบ หรือหากต้องการยืนยันตัว สามารถทำได้โดยง่าย

งานนี้อาจจะต้องรีบหน่อย กระแสกำลังแรงดี

 

Diggmocracy

เห็น mk มาบอกว่าช่วงนี้ผมต่อมการเมืองแตก มันแตกตอน “ขอความร่วมมือ” เนี่ยแหละ แต่อาจจะต้องลดๆ มั่งแล้ว

ว่ากันต่อกับหัวข้อเว็บ คนไม่น้อยคงเห็นเว็บ Digg กันแล้ว ด้วยการเป็น Social Network แบบง่ายๆ คือใครเขียนเรื่องอะไรก็เอาเข้ามาโพส ถ้ามีคนอื่นมาเห็นแล้วชอบ ก็โหวตกันไป พอโหวตถึงค่าหนึ่งก็จะได้ขึ้นหน้าแรกที่คนสนใจจำนวนมาก

แนวคิดอย่างนี้ได้รับความนิยมมาก คนหลายๆ คนเอาไปใช้กันอย่างกว้างขวาง (ลอกนั่นแหละ) แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือเดลล์ ที่สร้างเว็บ IdeaStorm โดยลอกหลักการจาก Digg มาตรงๆ จนรับรู้ว่าลูกค้านับแสนรายอยากได้ลินุกซ์ในเครื่องของเดลล์ มากกว่าคนที่อยากได้เว็บแคมเกือบสิบเท่า

มันจะเป็นไปได้ไหม ถ้าเราจะพัฒนาระบบการมีส่วนร่วมเช่นนี้ในสังคม อาจจะต้องมีการยืนยันตัวจากบัตรประชาชนบ้าง แล้วให้ทุกอำเภอมีตู้ Kiosk เอาไว้ให้ประชาชนเลือกเสนอแนวทางที่น่าสนใจเข้าไปได้ หรือจะเข้าไปโหวตอย่างเดียวก็ไม่ว่ากัน เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 7 วัน ไม่มีวันหยุด แต่ละคนให้โหวตเรื่องที่สนใจได้เรื่องละหนึ่งครั้ง แต่จะโหวตกี่เรื่องก็ได้

เมื่อโหวตแล้วรัฐบาลอาจจะไม่ทำทุกอัน แต่อย่างน้อยข้อเสนอที่ได้รับความสนใจสูงๆ แล้วทำไม่ได้จริง อย่างส่งเด็กทุกคนเรียน ดร. ที่ MIT อะไรงี้ ก็ออกมาพบสื่อธิบายกันเป็นครั้งๆ ไป

แนวคิดอย่างนี้อาจจะสร้างสังคมประชาธิปไตยที่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมตลอดเวลา ไม่ใช่แค่สี่ปีครั้งอย่างทุกวันนี้ ไม่ใช่การทำประชาพิจารณ์ที่เข้าถึงได้ลำบาก บันทึกที่ไม่กระจายตัวพออย่างทุกวันนี้

แต่ผมว่ามันมีรัฐบาลสักประเทศคิดจะทำอะไรอย่างนี้อยู่แล้วนะ