การเรียนรู้

ผมเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับพัฒนาการเด็กมาพอดู (แปลกไหมที่อ่านหนังสือแนวๆ นี้ตั้งแต่มัธยม) ประเด็นหนึ่งที่หนังสือแนวนี้จะพูดถึงว่าเป็นความผิดพลาดของพ่อแม่คือการที่ไม่ยอมปล่อยให้ลูกได้ผิดพลาดบ้าง

การเรียนรู้เป็นเรื่องที่แปลก เราไม่สามารถเดินในเส้นทางที่ถูกต้องอยู่ตลอดเวลาแล้วจะตระหนักได้ว่าทางนั้นมันเป็นทางที่ถูกต้อง หากเราเดินอยู่บนทางที่ถูกต้องอยู่ตลอดแล้ว เราเองจะเริ่มสงสัยว่าทางที่เราเดินนั้นมันถูกต้องจริงๆ รึเปล่านั่นเอง

จึงเป็นเรื่องปรกติที่การเรียนหลายๆ ครั้งแล้วเนื้อหาในส่วนของการปฏิบัติจะมีการให้ทำการทดลองบางอย่าง ทั้งที่มวลความรู้ของผู้เรียนไม่เพียงพอ นั่นก็เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสลองผิดลองถูกบ้างก่อนที่จะเรียนรู้สิ่งต่อๆ ไป

การสั่งสอนจึงไม่ใช่การที่จะไม่ยอมให้ผู้เรียนทำอะไรที่ผิดพลาด ตรงกันข้ามเราควรชี้นำให้เกิดความผิดพลาดในระดับที่เราดูแลได้ขึ้นบ้าง เพื่อที่ผู้เรียนจะเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น ถึงตอนนั้นเราจึงชี้ทางที่ถูกต้องให้ผู้เรียนให้เขาได้ตระหนักว่าการเดินทางที่ผิดนั้นมีข้อดีข้อเสียต่างจากทางที่ถูกอย่างไร

แต่ถึงเวลาจริงๆ แล้วไม่ว่าคุณจะอยู่ในฐานะพ่อแม่ หรือฐานะผู้สอนในเรื่องใดๆ ก็ตาม คุณจะพบว่าการปล่อยให้ผู้เรียนผิดพลาดนั้นเป็นเรื่องยากที่จะทำใจ และการควบคุมปัญหาที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาอาจจะมากยิ่งกว่าการบังคับให้ทำเรื่องที่ถูกต้องไปตรงๆ เสียอีก

แต่สุดท้ายแล้ว ถ้าเราอยากให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น สิ่งเหล่านี้คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไปไม่ได้

 

สื่อสารมวลชน

ข่าวพม่ากำลังร่างรัฐธรรมนูญเพื่อเตรียมการเลือกตั้งที่ผ่านมา ทำให้ผมเห็นอะไรหลายๆ อย่าง

ที่สำคัญที่สุดคือสื่อบ้านเราในเรื่องนี้แล้ว กลับเสนอมุมมองจากทั้งในและนอกพม่าได้อย่างครบถ้วน

ผมสงสัยแค่ข้อเดียว…. การร่างรัฐธรรมนูญฉบับร่างกันเอง แล้วลงมติอย่างนี้ มันต่างอะไรกันกับการกระทำของคมช. สื่อถึงได้มีมุมมองที่ต่างออกไปในแง่ของความเป็นกลางในการนำเสนอได้เพียงนี้

ผมเกลียดสื่อกระแสหลักในเมืองไทย ที่ขาดจรรยาบรรณ จริงๆ แล้วเราอาจจะต้องถามหา “ยางอาย” ในการทำงานของสื่อเหล่านี้กันด้วยซ้ำไปสื่อเหล่านี้โอนอ่อนต่อการกดดันในทุกๆ รูปแบบตลอดมา แม้จะมีความรูปความสามารถก็ทำได้เพียงแต่การนำเสนอเรื่องราวของต่างประเทศ แต่พอเป็นเรื่องในประเทศที่จะช่วยให้ชาติเจริญได้แล้ว กลับมัวแต่เกรงใจจนมีแต่ข่าวน่าเบื่อ

หวังว่าการเปลี่ยนของอุตสาหกรรมสื่อที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ จะทะลักเข้ามาในไทยเร็วและแรงพอ พอที่จะล้างบางสื่อดั้งเดิมเหล่านี้ให้หมดไปจากระบบซักที

 

Plan

โดยส่วนตัวแล้วชอบ Picasaweb ค่อนข้างมาก โดยยกความดีให้กูเกิลสองอย่างคือหน้าจอที่ใช้งานตรงไปตรงมา และโปรแกรม Picasa ที่ให้ความรู้สึกเดียวกันได้เป็นอย่างดี

ตัวโปรแกรม Picasa เองนั้นส่วนที่ผมชอบสองสามอย่างคือ ระบบ Star ที่ใช้งานง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้เวลาที่กดรูปมาเป็นพันๆ รูป สามารถคัดรูปออกมาเพื่ออัพขึ้นเว็บหรือเขียนซีดีแจกได้ง่ายมาก ยิ่งถ้าใช้วินโดวส์เวลาเขียนซีดีนี่ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ และสุดท้ายคือใช้บนลินุกซ์ได้ แม้จะใช้ซีพียูเยอะไปหน่อย กับเขียนซีดีไม่ได้ แต่การทำงานรวมๆ ของ Picasa ก็ดีมาก

แต่ด้วยความสัตย์จริง ปัญหาประการเดียวของ Picasa และ Picasaweb คือระบบการเก็บเงินที่เก็บตามพื้นที่ที่ใช้งาน ต่างจาก Flickr ที่เก็บตามปริมาณภาพที่อัพโหลดขึ้นไป

ความรู้สึกไม่มั่นคงกับลูกค้าเกิดขึ้นทันทีด้วยระบบการคิดเงินเช่นนี้ เพราะเขาต้องเสียเงินเพื่อรักษาภาพเดิมที่พวกเขาเคยแชร์อยู่บนเว็บ เทียบกับ Flickr ที่ลูกค้าจ่ายเงินเพื่อการใช้บริการอัพโหลดภาพขึ้นไปเท่านั้น

ผมไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในความรู้สึกของผมแล้ว กูเกิลน่าจะเป็นบริษัทที่บริหารต้นทุนในเรื่องของการจัดเก็บข้อมูลได้ดีกว่า Flickr มาก โดยศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีอยู่ และความชำนาญในการดูแลระบบคลัสเตอร์

ตัวเลขพื้นที่พื้นที่ 1 กิกะไบต์อาจจะมากพอที่จะใสภาพได้หลายพันภาพ แต่หาต้องมานั่งนึกว่าภาพที่ใส่ลงไปเยอะไปไหม ภาพจะเต็มพื้นที่ที่ซื้อไว้รึยัง หรือหากอัพเกรดแล้วต้องคิดว่าจะต้องไม่ลืมจ่ายเงินทุกปีๆ

ผมคงกลับไปใช้ flickr ในที่สุด

 

สิ้นสุดระบอบเผด็จการ การเรียนรู้ของสังคมไทย

วันนี้เป็นวันประชุมครั้งสุดท้ายของ คมช. ต่อเนื่องจากการโปรดเกล้าแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ เลยมาสรุปความคิดตัวเองไว้สักหน่อย

ผมเชื่อว่าการรัฐประหารครั้งที่ผ่านมาเป็นความผิดพลาด อย่างไม่อาจให้อภัยได้ของผู้เกี่ยวข้องทุกคน ไม่ว่าจะมีวัตถุประสงค์ใด การรัฐประหารครั้งนี้สร้างรอยแผลต่อการพัฒนาการเมืองไทยไปอีกอย่างน้อยคง 20 ปีหรือหนึ่งชั่วอายุคน

รัฐบาลทักษิณนั้นอาศัยช่องที่นักการเมืองทั้งหลายยังอ่อนแอ และมองไม่เห็นว่ารัฐธรรมนูญปี 40 กำลังขจัดระบบเก่าๆ ที่มีรัฐบาลหลายพรรคออกไปอย่างจงใจ แทนที่จะมีการรวมตัวกันเพื่อสร้างความเข้มแข็ง เรากลับได้เห็นการประกาศตัวอยากเป็นนายกของพรรคเล็กพรรคน้อยสารพัด และจบลงด้วยการที่แทบทุกพรรคพ่ายแพ้ต่อไทยรักไทยอย่างหมดรูป

คนที่อ่านรัฐธรรมนูญขาดในยุคนั้นและวางตัวได้ถูกต้องคงมีแค่สองคน คือ ทักษิณกับบรรหาร คนแรกนั้นเสนอตัวเข้ามาอย่างถูกจังหวะ อีกคนนั้นรักษาตัวไว้จนรอดมาได้อย่างถูกจังหวะอีกเหมือนกัน

ช่องทางที่ทักษิณอาศัยเข้ามาสร้างฐานอำนาจนั้นคือการที่คนไทยแทบทั้งประเทศ ยังไม่มีความเข้าใจว่าผู้แทนที่เขาเลือกเข้าไปนั้น แต่ละคนเข้าไปทำอะไรกันบ้าง จุดที่น่าเป็นห่วงที่สุดในยุคนั้นคงเป็นเรื่องของ สว. ที่มีความสัมพันธ์กับฝ่ายนิติบัญญัติจนขาดการถ่วงดุลอำนาจไป

ความเชื่อที่ผิดของคนไทยที่ไม่เข้าใจถึงการคานอำนาจ และมองระบบการปกครองเป็น “หลวง” กับ “ราฏษร์” สร้างความสับสนว่าเลือก สส. แล้วทำไมต้องเลือก สว. กันไปอีก และผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าคนจำนวนไม่น้อยคิดว่าจะเลือกสองกลุ่มนี้เข้าไป “ช่วยกัน” ทำงาน

ความเข้าใจผิดนี้สร้างฐานอำนาจแบบเบ็ดเสร็จให้กับทักษิณได้โดยง่าย และต้องยกความดีให้กับการบริหารที่รวดเร็วของทักษิณที่ทำให้คนจำนวนมากเชื่อว่า “เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว”

โดยทั่วไปแล้ว ผมเชื่อว่าแนวคิดการต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” มีความดีในตัวของมันอยู่ คนไทยจำนวนมากเริ่มตระหนก และตระหนักว่าอำนาจในการบริหารประเทศไม่ควรไปตกอยู่ในมือของคนๆ เดียวอย่างเบ็ดเสร็จ ผมเชื่อว่าถ้าพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่ร่วมกันคว่ำบาตรการเลือกตั้งในปี 2549 หรือกระทั่งไม่มีการรัฐประหาร สิ่งที่เกิดขึ้นคือการชนะแบบไม่ขาดลอยของรัฐบาลทักษิณอีกครั้ง

หากการต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” เป็นไปอย่างในกรอบแล้ว จุดที่น่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมไทยที่สุดอีกครั้งคือการเลือกตั้ง สว. (ซึ่งต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด) โดยที่ในตอนนั้น คงจะเริ่มมีการขุดคุ้ยกันเป็นขนานใหญ่ ถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้สมัคร สว. กับฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ ถึงเวลานั้นทักษิณเองแม้จะคุมอำนาจได้มาก แต่ก็คงไม่อาจกร่างได้เหมือนเดิมอีกต่อไป

ที่แย่อีกเรื่องคือเรื่องของประชานิยม ที่นักวิชาการออกมาพร่ำเพ้อถึงข้อเสียที่ยังไม่มีใครได้เห็น ส่วนตัวผมเองนั้นเห็นด้วยว่าการเอาเงินไปลงในระดับชุมชนอย่างเร็วเกินไปนั้นอาจจะสร้างอันตรายกับระบบเศรษฐกิจไทยได้ในระยะกลาง 7-12 ปี

แต่การเลือกตั้งเมื่อ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา ก็เป็นตัวบ่งบอกได้ถึงความเลวร้ายของการรัฐประหาร เพราะสุดท้ายแล้วคำพูดของนักวิชาการไม่ว่าหน้าไหนก็ไม่มีประโยชน์อะไร ในเมื่อประชาชนส่วนใหญ่ได้เห็นผลดีของการทำประชานิยม และยังไม่เคยเห็นผลเสียของมันจริงๆ ที่เห็นคงเป็นความฉิบหายของประเทศหลังการทำรัฐประหาร การแทรกแซงสื่ออย่างไร้ศิลปะของทหาร จนสุดท้ายแล้วพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องออกนโยบาย 99 วันทำได้จริงออกมา ซึ่งไม่ว่าจะพูดอย่างไร มันคือประชานิยมแบบเดิมๆ ของทักษิณนั่นเอง

การประกาศนโยบายประชานิยมของประชาธิปัตย์คงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้สำหรับทางพรรคเอง ในเมื่อประชาชนยังโหยหาถึงช่วงเวลาที่ประเทศบริหารโดยทักษิณ

การที่นายอานัน ปัญยารชุนออกมาพูดว่าประเทศกำลังกลับไปเป็นแบบเดิมนั้นเป็นคำพูดที่ดูจะไร้สาระในความคิดของผมเอง เพราะประชาชนไทยส่วนใหญ่ก็ต้องการกลับไปเป็นแบบนั้นจริงๆ แม้ผมจะเห็นด้วยว่าการกลับไปเป็นแบบเดิมนั้นไม่ใช่เรื่องดี แต่คนที่ควรถูกกล่าวโทษในเรื่องนี้ควรเป็นคณะรัฐประหารมากกว่านายสมัคร การเล่นนอกกรอบของทหารและใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังนั่นแหละที่ทำให้ประเทศต้องเสียเวลาในการพัฒนาทางการเมืองไปนับสิบๆ ปี

ผมหวังว่าการแก้รัฐธรรมนูญจะเสร็จลงโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็น สว. สรรหา และไม่ว่าเราไม่ชอบยังไงคงต้องยอมรับความจริงว่าเราต้องให้เวลาสังคมไทยเรียนรู้จักกับประชาธิปไตย และกระบวนการนี้ต้องใช้เวลาเพื่อเดินหน้าต่อไป

อ่านประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสที่กว่าจะมีประชาธิปไตยที่เข้มแข็งนั้นใช้เวลานับร้อยปีแล้ว อาจจะเครียดเรื่องการเมืองไทยน้อยกว่าเดิม……