คิดถึง

เคยคุยกับเพื่อนคนหนึ่งมานานแล้วว่า วันหนึ่งที่เราลืมช่วงเวลาที่ต้องอยู่คนเดียวไปแล้ว จะเป็นช่วงเวลาที่อยู่คนเดียวได้ยากที่สุดเวลาหนึ่ง

น่าแปลก ในเวลาที่เรามีคนล้อมรอบมากมาย มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราอยากจะทำ มีอะไรจำนวนมากที่เราบอกกับตัวเองไว้ว่าเมื่อมีโอกาสแล้วเราจะลงมือ

แต่เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว เรากลับมองหาคนรอบข้าง

เราถามตัวเองว่ามันจะเป็นไปได้ไหม ที่เราจะมีใครอีกสักคนมาทำสิ่งเหล่านั้นกับเรา

จะเป็นไปได้ไหมที่จะมีคนมายืนเคียงข้างเรา

 

vrms

Today, after a short “j-walking”, I found a blog introduce me an interesting program called vrms.

It’s just a simple program that scan all deb packages installed on the machine and  notify you if there’re some of the packages which isn’t free.

The funniest part is the program’s name, it’s an abbreviate from Virtual Richard M. Stallman.

While I don’t really think any End-User will be care about software license at all. (They even pirated some.) Top-Down free software subsinary is on the way. Large corporation in Thailand has started to deploy OO.o in scale of thousands machines. I’m sure we’ll see a lot more very soon.

 

ขนมโป้งๆ ชึ่ง

สงสัยมานานว่าทำไมของกินบางอย่างเราถึงต้องกินเวลาไปเที่ยว

วันนี้ถามน้องสาว น้องสาวบอกว่าของพวกนี้แม้มันจะมีให้กินในกรุงเทพฯ แต่ถ้ากินเฉยๆ แบบสบายๆ แล้วมันจะไม่ได้ฟิลด์

ต้องนั่งรถเหนื่อยๆ เมื่อยๆ ง่วงๆ แล้วลงไปซื้อ (แบบแพงๆ) จึงจะซื้อได้และกินอร่อย จึงได้ชื่อหมวดขนมนี้มาว่าขนมโป้งๆ ชึ่ง

ตัวอย่างของขนมในหมวดนี้ก็เช่น ข้าวเกรียบถุงโตๆ, ข้าวหลาม, กระหรี่ปั๊บ, ขนมหม้อแกง, โมจิ, ฯลฯ

ขนมโป้งๆ ชึ่งนี้มีความหลากหลายมากจนไม่น่าเชื่อว่าจะจัดอยู่ในหมวดเดียวกันได้ แต่นอกจากอารมณ์และช่วงเวลาในการซื้อแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่ขนมหมวดนี้มีเหมือนๆ กัน

นั่นคือ พลังงาน ครับ

แม้จะไม่มี Nutrition Fact อยู่หลังถุง แต่ก็บอกได้เลยว่าพลังงานจากขนมแนวๆ นี้ทะลุเพดานพลังงานที่ควรบริโภคต่อวันไปแบบติดขอบฟ้า และด้วยเหตุผลว่าขนมพวกนี้เรามักกินเอาช่วง “ปล่อยผี” เลยลืมกันบ่อยๆ ว่าลดน้ำหนักอยู่

ไม่มีอะไรมากครับ ไปเที่ยวมาแล้วฟาดเข้าไปเยอะ

กลมเลย…. – -“

 

ยัด

นานมาแล้วรัฐบาลเขมรเคยใช้ข้อหาจารชนยัดให้กับประชาชนของตัวเอง

กระบวนการประหลาดของตำรวจเขมรในสมัยนั้นคือการจับคนต้องสงสัย แล้วทรมานจนกว่าจะสารภาพและต้องเอ่ยชื่อผู้ร่วมขบวนการออกมาอีกจำนวนหนึ่ง

เนื่องจากความทรมานที่เกินทน คนจำนวนมากจึงเอ่ยชื่อคนที่เขารู้จักไปส่งเดช จะได้ถูกประหารให้จบๆ กันไป

บ้านเราเองก็เคยอยู่ในยุคมืดแห่งคอมมิวนิสต์ ที่นักศึกษาผู้เรียกร้องประชาธิปไตยถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์จนต้องไปเข้าร่วมกับคอมมิวนิสต์เข้าจริงๆ

การจับแบบเหวี่ยงแหเช่นนี้ไม่เคยสร้างประโยชน์ให้กับใคร มันทำลายทั้งผู้ถูกกล่าวหาและตัวผู้ปกครองเอง

ผมเคยอ่านหนังสือเรื่องประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ประโยคหนึ่งที่น่าสนใจในหนังสือนั้นมีใจความว่า “น่าแปลกที่ประวัติศาสตร์มักย้อนกลับมาเสมอๆ”

ใช่มันน่าแปลกจริงๆ

ผมได้แต่หวังว่าครั้งนี้ มันจะจบลงด้วยความต่างออกไป…