Exclamation


You Are An Exclamation Point


You are a bundle of… well, something.
You’re often a bundle of joy, passion, or drama.
You’re loud, brash, and outgoing. If you think it, you say it.
Definitely not the quiet type, you really don’t keep a lot to yourself.

You’re lively and inspiring. People love to be around your energy.
(But they do secretly worry that you’ll spill their secrets without even realizing it.)

You excel in: Public speaking

You get along best with: the Dash

What Punctuation Mark Are You?

เห็นมาจาก Pradt

 

Blocking

หลายคนอ่านบทความของผมที่ Blognone กับที่นี่แล้วอาจจะคิดว่าผมเป็นพวกต่อต้านการบล็อคทุกรูปแบบ แต่ให้ผมบอกคือผมต่อต้านการบล็อคที่ไม่มีคำอธิบายทุกรูปแบบไม่ว่ามันจะดูเข้าท่าแค่ไหนก็ตาม

ประเด็นที่นายมั่น พัธโนทัยออกมาระบุว่าการบล็อคเว็บในไทยสามารถทำได้ตามกฏหมายโดยผ่านทางคำสั่งของคนสามคนในประเทศนั้นเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะผมไม่เคยได้ยินกฏหมายข้อไหนให้อำนาจคนสามคนนี้เหนือกว่าประชาชนไทยคนอื่นๆ ในแง่ของการมีอำนาจเด็ดขาดในการบล็อคเว็บ

สุดท้ายแล้วสังคมบ้านเราจะสามารถเป็นนิติรัฐได้อย่างไร หากเราอาศัยความรู้สึกของคนสามคนมาระบุว่าเรื่องอะไรผิดเรื่องอะไรถูก

เราอาจจะต้องตั้งคำถามกระบวนการที่กำหนดไว้อย่างสวยงามใน พรบ. คอมฯ นั้น มีเอาไว้ตั้งโชว์ให้ต่างชาติดูเล่นแล้วในบ้านเราใช้ระบบมาเฟียกันแบบเดิมหรืออย่างไร

น่าสนใจคือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผมไม่เห็นมีหน่วยงานไหนที่มีความพยายามทำงานในเชิงบวกเพื่อแก้ปัญหาเนื้อหาล่อแหลมและไม่พึงประสงค์ (สำหรับพวกเขา) แม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นช่องทางสื่อสารระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลกับเหล่าเว็บมาสเตอร์ หรือ Guidline อื่นๆ สิ่งที่พวกเขาทำคือการข่มขู่ในเชิงรุก และชี้หน้าใครต่อใครว่าทำผิด พร้อมกับโหมกระแสมวลชนให้เชื่อว่าการกระทำนั้นผิดตามที่พวกเขาเชื่อ

น่าสนใจว่ากระบวนตามกฏหมายใน พรบ. คอม ซึ่งเพิ่งตราออกมานั้นมีความบกพร่องอย่างไร จึงมีการประกาศใช้กระบวนการนอกกฏหมายเช่นนี้ออกมา

หลายความเห็นใน Blognone เคยอ้างว่ากระบวนการนั้นช้าเกินไป แต่สุดท้ายแล้ว ผมก็ยังเห็นหลายเว็บที่น่าจะผิดแน่ๆ เปิดทำงานโดยไม่มีปัญหาอะไร

มันจะดีกว่าไหมหากภาครัฐหยุดหาอำนาจนอกกรอบของกฏหมาย แล้วทำตามกระบวนการให้เต็มประสิทธิภาพ เมื่อตรวจพบแล้วรีบแจ้งเรื่องให้รัฐมนตรีเซ็น แล้วส่งเรื่องเข้าศาลข้อความคุ้มครองเร่งด่วนถ้ามันมีปัญหาแล้วค่อยมาคุยกันว่ามันเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับกระบวนการนี้

หรือเรามีเหตุผลอื่นที่จะไม่ทำตามกระบวนการ?

 

ไล่ออก

เมืองไทยเคยมีประเด็นของการรับสมัคร Call Center ที่มีการบอกไม่รับพนักงานกันกลางอากาศ เป็นคดีกันไปยิ่งใหญ่พอสมควร (น่าสมเพศสื่อกระแสหลักที่ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้กันเลย)

แต่พอดีอ่าน Havard Business แล้วมีเรื่องแปลกกว่านั้น โดยบทความเล่าถึงบริษัท Zappos ที่รับพนักงานแล้วอบรมกันอย่างเข้มข้น พร้อมกับให้ทำงานก่อนอีกหนึ่งสัปดาห์ พอถึงเวลาแล้ว

ก็ออกมาถามว่าจะมีใครลาออกบ้าง!!!!

ไม่บอกเปล่า บอกกันตรงๆ ว่าเดือนที่ผ่านมาจะได้รับเงินเดือนครบทุกวันไม่มีขาด แถมเงินอีก 1000 ดอลลาร์ !!!!!!!

แนวคิดของ Zappos ไม่ใช่การคัดคนออกตามอำเภอใจ แต่เป็นแนวคิดที่พยายามถามส่วนลึกในใจของพนักงานว่ายินดีปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมองค์กรหรือไม่ ถ้าอึดอัดแล้ว และคิดว่าอาจจะทำได้ไม่นาน การรับข้อเสนอน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่ามากอยู่แล้ว

Zappos เริ่มข้อเสนอนี้ครั้งแรกด้วยเงิน 100 ดอลลาร์ และตอนนี้อยู่ที่ 1000 ดอลลาร์ และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามขนาดองค์กรที่กำลังขยาย และต้องการรักษาวัฒนธรรมองค์กร

ที่น่าสนใจมากคือด้วยแนวคิดแบบนี้ ไม่มีอะไรรับประกันเลยว่า Zappos จะได้คนเก่งที่สุด เพราะบริษัทไม่ใช่คนเลือกให้ข้อเสนอกับใคร แต่พนักงานทุกคนต่างหากที่เป็นคนเลือกว่าจะรับข้อเสนอหรือไม่ และดูเหมือน Zappos ยินดีจะเสียคนเก่งๆ ไปหากเขาอึดอัดกับวัฒนธรรมองค์กร

น่าสนใจมากว่าบ้านเราคงหาแนวคิดแบบนี้ยาก ที่ไม่ว่าจะไม่อยากทำแค่ไหน ก็ทำๆ ไปเพราะมันมั่นคงดี โดยเฉพาะในหมู่ราชการแล้ว โรคประมาณนี้คงเป็นหนักกว่าปรกติหลายเท่าตัว

มีที่ไหนถ้าทำอะไรอย่างนี้ลองมาเล่าให้ฟังกันมั่งก็ดีครับ

 

Global Warming

ผมเป็นคนที่เกลียดการแนวคิดการมองว่าคนอื่นโง่เลยต้องหลอกอย่างหวังดีเพื่อให้คนโง่ทำเรื่องดีๆ เป็นอย่างมาก การที่เรามีปัญหาแล้วมีคนไม่เข้าใจแล้วเราอยากให้เขาเข้าใจ หน้าที่เราคือการพยายามทำความเข้าใจ ไม่ใช่การไปหลอกให้เขาทำอย่างที่เราอยากทำ โดยยังขาดความเข้าใจกันต่อไป

กระแสเรื่องโลกร้อนเป็นอีกเรื่องที่นับว่าน่ารำคาญอย่างมากในสายตาของผม เราเอาปัญหาระดับโลกไปผสมปนเปกับหลายๆ อย่างแล้วไปโจมตีธุรกิจบางอย่างโดยไม่ดูข้อเท็จจริง

งานนี้ผมเลยลองมาเรียบเรียงข้อเท็จจริงเกี๋ยวกับภาวะโลกร้อนมาดู ออกตัวไว้ก่อนว่าบทความนี้เป็นการรวบรวมความคิดเบื้องต้น และผมยังไม่ได้ค้นคว้าแหล่งที่มาให้เรียบร้อย ไว้จะกลับมาทำอีกทีครับ

  1. ภาวะโลกร้อนหมายถึงความร้อนเฉลี่ยของโลกร้อนขึ้น โดยในช่วงร้อนกว่าปีที่ผ่านมาตัวเลขความร้อนนี้อยู่ที่ไม่ถึง 1 องศาเซลเซียสเท่านั้น
  2. กระนั้นความร้อนบางส่วนของโลกก็ร้อนขึ้นมากกว่าส่วนอื่นๆ อาจจะเนื่องจากชั้นโอโซนในแถบต่างๆ ด้วย
  3. จนถึงวันนี้ ภาวะโลกร้อนยังไม่มีผลให้น้ำท่วมโลกอย่างที่กลัวกัน
  4. ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อโลกร้อนแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ไม่แน่ด้วยซ้ำไปว่ามันเป็นผลร้ายต่อโลกจริงหรือไม่ หลายกระแสระบุว่าโลกอาจจะมีพื้นที่เพาะปลูกและอยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอย่างมากก็เป็นได้
  5. ปัญหาคือการที่โลกร้อนขึ้นมันไม่ได้ทำให้เย็นลงได้ในเวลาอันสั้น เลยไม่มีใครอยากลองดูว่าโลกร้อนแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
  6. น้ำท่วมบริเวณภาคกลางไทย ที่น้ำท่วมนั้นเกิดจากแผ่นดินทรุด เนื่องจากการใช้น้ำบาดาลมากเกินไป ไม่เกี่ยวกับโลกร้อน
  7. ทะเลสาปอาราลที่ยุโรป น้ำก็แห้งเหือดไปมหาศาล เนื่องจากการผันน้ำไปใช้เพื่อการเกษตร ไม่เกี่ยวกับโลกร้อนเหมือนกัน
  8. โลกร้อนขึ้นเนื่องจากการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ
  9. คาร์บอนที่ถูกปล่อยขึ้นไปส่วนมากมาจากการผลิตพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้า
  10. ถุงพลาสติกเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ใช้วัสดุอย่างคุ้มค่าที่สุด เพราะผลิตได้ง่าย ใช้วัสดุเพียงเล็กน้อย
  11. แก้วกระดาษก็ใช้พลังงานในการผลิตเช่นเดียวกัน และไม่มีข้อยืนยันว่ามันใช้พลังงานในการผลิตต่ำกว่าถุงพลาสติก และหลายกระแสอ้างว่าหีบห่อกระดาษน่าจะเป็นต้นเหตุของคาร์บอนในปริมาณที่มากกว่า
  12. ถุงผ้านั้นเวลาผลิตขึ้นมาสร้างคาร์บอนมากกว่าถุงพลาสติกหลายต่อหลายเท่าตัวแน่นอน น่าสนใจว่าถุงที่รนรงค์ให้ใช้กันนั้นมีการใช้ซ้ำกันซักกี่รอบ และโลกได้ประโยชน์จริงหรือไม่
  13. หลอดประหยัดไฟใช้พลังงานในการผลิตมากกว่าหลอดไส้ตามปรกติ ไม่มีข้อยืนยันว่าพลังงานที่เสียไปนั้นจะคุ้มค่าในกี่ชั่วโมงการใช้งาน
  14. สหรัฐฯ เป็นประเทศที่ปล่อยคาร์บอนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศหนึ่งในสามของโลก
  15. ไบโอดีเซลมีข้อดีในประเด็นของความมั่นคงทางพลังงานอย่างชัดเจน แต่ไบโอดีเซลก็ใช้พลังงานในการผลิตที่ไม่ชัดเจนว่าน้อยกว่าการผลิตน้ำมันตามปรกติหรือไม่ แต่เวลาใช้ในรถแล้วก็สร้างคาร์บอนพอๆ กับน้ำมันปรกติ ดังนั้นคงเอาไปอ้างเรื่องโลกร้อนได้ไม่เต็มปาก
  16. ก๊าซธรรมชาติก็ปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศเหมือนกัน มันไม่ได้รักษาเรื่องโลกร้อนแต่อย่างใด
  17. โรงงานไฟฟ้าถ่านหิน เป็นแหล่งพลังงานที่ปล่อยคาร์บอนมากที่สุด โรงงานแบบสะอาดที่ติดตั้งเครื่องกรองมักหมายถึงการกรองกำมะถันซึ่งมีผลเสียต่อสุขภาพ อีกครั้งที่การทำเช่นนั้นยังไม่ได้ช่วยเรื่องโลกร้อนอยู่ดี
  18. โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่สร้างคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ ที่เห็นปล่องใหญ่ๆ มีควันนั้นเป็นไอน้ำ
  19. พลังงานแสงอาทิตย์จะคืนพลังงานในการผลิตในเวลาประมาณ 18 เดือน