iBento

ไม่ได้ตั้งชื่อเองเล่นๆ แต่มันคือร้านอาหารญี่ปุ่นแถวม. เกษตร ที่เพิ่งเปิดมาไม่กี่เดือน เนื่องจากทำงานอยู่เกษตรมาเป็นปี แถมอยู่ดึกเลยต้องไปลองกิน

หน้าร้าน ยืนยันว่ามันชื่อ iBento จริงๆ ท่าทางเจ้าของร้านจะชอบ iPod มาก ในร้านเห็น iPod Docking วางอยู่ด้วย

ชาร้อนเติมได้เป็นกฏข้อแรกของผมในการเลือกกินอาหารญี่ปุ่นไปแล้ว อันนี้ 20 บาทก็พอโอเค เท่าที่กินมาไม่เคยเจอชาร้อนแบบเย็น (ชืด) เพราะใช้กาเดียวพนักงานเดินเติมเอา ไม่เหมือนกับ Zen ที่เอากาเท่าหม้อข้าวมาวางทิ้งไว้

ราคาผมกะดูคร่าวๆ ด้วยสายตา น่าจะถูกกว่าฟูจิอยู่ 20-30% นับว่าไม่ได้ห่างกันมากนัก แต่เมนูดูดีทีเดียว เทียบกับร้านอื่นๆ แถวๆ นี้

จานแรกเป็นเห็ดเข็มทองผัดเนย เป็นเมนูที่กินได้ทุกคน และสั่งร้านไหนก็ไม่เคยคุ้ม เพราะทำเองง่ายมาก เอาน่ะ มาแล้วก็ลองสักหน่อย ส่วนข้าวไข่หวานนั่นของน้องคนนึงที่กินข้าวมาอิ่มแล้ว เลยกินแค่นั้น

อันนี้ของชอบผม เฟรนซ์ฟรายจิ้มซอร์สวาซาบิ ตัวเฟรนซ์ฟรายนั้นไม่มีอะไรใหม่ น่าจะซื้อตามซุปเปอร์มาทอดเองได้เหมือนกัน แต่ซอร์สวาซาบินี่แนะนำมาก ว่าจะซื้อกลับบ้านมานั่งกินซักขวด

ของผมเป็นข้าวแกงกระหรี่กุ้งทอด รู้สึกจะ 69 บาท เยอะได้ใจดีแท้

กินไปกินมายังไม่อิ่ม เลยสั่งมินิซูชิมาอีกชุด มันเป็นชุดซูชิรวมแต่ทุกชิ้นมีขนาดแค่ 1 ใน 3 เลยเหมาะสำหรับเอามากินมันทุกหน้า ก็น่ารักดี จนไม่กล้ากินกัน – -”

จบแล้ว…

ร้านนี้ค่อนข้างโอเค เลยไปซ้ำมาแล้วสองรอบเมื่อวันก่อน เทียบความคุ้มรวมค่าเดินทางกับค่าจอดรถแล้ว เด็กเกษตรคงน่าไปลอง แค่คนที่อื่นคงไม่น่าถ่อมาเท่าใหร่

ของแถมก่อนจบของวันนี้คือ….

Pepsi Green???

เพิ่งเคยเห็น จากการสัมภาษณ์คนส่งของในรถเค้าบอกว่ามันเพิ่งมาเมื่อวาน!!! ใครลองแล้วรายงานที

 

เด็กคอมถามปัญหาคอม

เห็น [@ploysics บ่นไว้ในบล็อก](http://www.ploysics.com/when-you-in-com-dept/) เลยเขียนมั่ง

เรื่องหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ มันไม่มีใครรู้ไปหมดทุกเรื่อง แม้แต่เด็กคอมเองก็ไม่มีทางรู้ทุกอย่างแก้ทุกปัญหาได้ ดังนั้นไม่แปลกที่จะถามคนอื่น

แต่ในฐานะรุ่นพี่ผมพยายามบอกน้องๆ หลายครั้งว่าให้ถามแบบที่คนตอบ “รู้สึกได้” ว่าเราคือเด็กคอม… ซึ่งแน่นอนว่าไม่น่าเป็นคำถามว่า

> นี่ๆ เครื่องเรามันเป็นอะไรก็ไม่รู้ ทำอะไรก็ไม่ได้เลย ไม่รู้มันเป็นเมื่อใหร่ มันขึ้นอะไรแปลกๆ มาก็ไม่รู้ แล้วเราก็กดๆ ไปอ่ะ กดอะไรไปมั่งก็ไม่รู้ แล้วมันจะเสียมั๊ย

ทั้งประโยคเป็นคำว่า “ไม่รู้” ไปสักสิบแปดรอบ… (แล้วกูจะรู้มั๊ย…)

แนวทางหลักในการขอความช่วยเหลือ

– ตั้งสติ จะพูดอะไรนึกไว้ด้วยว่าคนตอบเขาไม่มีปัญหา เราเป็นคนมีปัญหา เราต้องอธิบายปัญหาให้เขาเข้าใจ
– พูดให้ชัด อะไรไม่ทำงาน “เข้าเน็ตไม่ได้”, “พิมพ์งานไม่ออก”, “เปิดโปรแกรมไม่ขึ้น” ฯลฯ
– บอกอาการอย่างชัดเจน หน้าจอขึ้นอะไรมา Error Code หมายเลขอะไร อ่าน__ทุกๆ__ Dialog ที่แสดงขึ้นมา
– ลองแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อนเสมอ กูเกิลมี ปัญหาส่วนมากเอา Error Code โยนใส่กูเกิลก็ได้คำตอบแล้ว ทำเองมันเป็นส่วนหนึ่งของการเรียน
– อย่าขี้เกียจ อย่าให้คนอื่นทำให้ถ้าไม่จำเป็น ขอความช่วยเหลือ ไม่ใช่แรงงาน พยายามถามเพื่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้น จะได้เรียนรู้ว่าเพื่อนแก้อะไรไป ตอนเราทำงานแล้วไม่มีใครมาช่วยเราเหมือนตอนนี้ ความสามารถพื้นฐานเราต้องมีลงวินโดวส์เองได้แล้ว เรียนคอมกันแล้ว ถ้ายังไม่มี วันนี้ไรต์ข้อมูลลงแผ่นซีดีแล้วล้างเครื่องเองเลย ไม่ต้องรอให้เกิดปัญหา
– สุดท้ายแล้วเรียนรู้จากปัญหา ทำความเข้าใจกับมัน ตั้งเป้าหมายให้ตัวเองไม่ติดปัญหาที่เดิมอีกต่อไป

 

Disney in real life

คนแถวๆ นี้น่าจะเคยเห็นโครงการ Improve Everywhere ที่ไปยืนนิ่งๆ ที่สถานี Grand Central จนเหมือนหยุดเวลามาแล้ว

จริงๆ แล้วนอกจากโครงการ Freeze แล้วยังมีอีกหลายอันที่ไปเล่นอะไรแปลกๆ กัน แต่ที่ชอบที่สุดน่าจะเป็นอันนี้

เหมือนหลุดออกมาจากาการ์ตูนดิสนีย์เลย

 

Science vs. Art

ตามประสา [geek ตัวพ่อ](http://lewcpe.com/blog/archives/746/geek-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD/) ยามว่างเราก็อ่านนิตยสาร [Communication of the ACM](http://cacm.acm.org/) แทนนิตยสารดารา

บทความที่คนพูดถึงกันมากในช่วงนี้คือ Is Computer Science Science? เนื้อหาข้างในสนใจไปหาอ่านกันเอาเอง แต่ประเด็นที่ผมสนคือความต่างระหว่างศิลปะ และวิทยาศาสตร เทียบกันเป็นข้อๆ

– หลักการ vs. ความชำนาญ
– การทำซ้ำได้ vs. ประสิทธิภาพการทำงาน
– คำอธิบาย vs. การกระทำ
– การค้นพบ vs. การประดิษฐ์
– วิเคราะห์ vs. สังเคราะห์
– การแยกศึกษา vs. การก่อสร้าง

น่าสนใจมากว่าสังคมไทยที่ว่าเป็นวิทยาศาสตร์อย่างโน้นอย่างนี้ พอเอาเข้าจริงแล้ว เราก็มักจะอ้างว่า “มันดีอยู่แล้ว”????